24/07/2024

ทำความรู้จัก Luxury แบรนด์เนม งานอาร์ตตัวแม่ เจ้าของลายโมโนแกรมดอกไม้สี่แฉก ที่มี ลิซ่า เป็น House Ambassador

หากกล่าวถึง Luxury แบรนด์เนมแบรนด์นึงที่ครองใจคนทั้งโลกมาอย่างยาวนาน นอกจากคุณภาพและดีไซน์ของผลิตภัณฑ์ที่ยึดเหนี่ยวเหล่าสาวกผู้ภักดีมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ยังมีสิ่งๆ นึงที่ทำให้ทั้งโลกที่เป็น “ลูกค้า” หรือ “ยังไม่เคยเป็นลูกค้า” ของแบรนด์นี้มาก่อนต้องรู้สึกตราตรึงติดตาด้วยมนต์สเน่ห์ของโลโก้และลวดลาย “โมโนแกรมดอกไม้สี่แฉก” อันแสนจะหรูหรา อารัมภบทมาถึงตรงนี้ หลายคนคงเดาออกแล้วว่าเรากำลังพูดถึงแบรนด์ LV ใช่แล้ว.. คงไม่มีใครไม่รู้จัก “Louis Vuitton

ซึ่งยิ่งตอกย้ำให้แบรนด์ Louis Vuitton เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และทัชใจกับเด็กๆ เจเนอเรชันใหม่ โดยแบรนด์แต่งตั้ง ลิซ่า หรือที่เราคุ้นเคยกันมากกับการเรียกว่า ลิซ่า BLACKPINK ให้เป็น House Ambassador อย่างเป็นทางการ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 แม้ว่าเมื่อเดือนก่อนหน้าก็เพิ่งแต่งตัว กงยู ไปแล้วก็ตามที เพียงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นนี้ หากมองในมุมมองของโมเดลธุรกิจแล้ว จึงน่าชื่นชมที่แบรน์มีวิสัยทัศน์ทันโลก และยังคงความนิยมอย่างอมตะนิรันด์มายาวนานถึงเกือบสองศตวรรษ และแน่นอนว่าไม่มีทีท่าจะแผ่ว ..อะไรที่ทำให้ LV เดินทางมาถึงเกือบสองร้อยปีได้จนถึงทุกวันนี้ คุณภาพสินค้า? ดีไซน์ของผลิตภัณฑ์? วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร? หรือโลโก้โมโนแกรมสุดยูนีค? จริงๆ ก็ทั้งหมดนั่นแหละ วันนี้เราจะลองไปเจาะลึกทีละเรื่องกัน

Louis Vuitton

เต็มเปี่ยมไปด้วย ดีไซน์และคุณภาพ

แบรนด์ Louis Vuitton มีต้นกำเนิดจากกรุงปารีส โดยช่างทำกระเป๋าชาวฝรั่งเศส ประสบความสำเร็จจากการออกแบบกระเป๋าเดินทางที่มีน้ำหนักเบา ทนทาน และกันน้ำ ทำให้ทั้งดีไซน์และคุณภาพสินค้าของเขาได้รับความนิยมจากนักเดินทางที่มีฐานะร่ำรวย และกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ชื่อของแบรนด์ก็ตรงตามชื่อของช่างผู้ก่อตั้งเลย ไม่ซับซ้อน “หลุยส์ วิตตอง” นั่นเอง

สาขาแรกเปิดในกรุงลอนดอน ต่อมาเขาได้ขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ ในยุโรป อเมริกา และเอเชีย เริ่มต้นจากธุรกิจครอบครัวที่ส่งต่อกันรุ่นสู่รุ่น บริหารกันจนแบรนด์กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลก ที่โด่งดังจากสินค้าหนัง กระเป๋าเดินทาง และเครื่องประดับ ที่มีคุณภาพสูง และดีไซน์ที่เหนือกาลเวลา ปัจจุบันเป็นเจ้าของโดย LVMH Moët Hennessy หนึ่งในกลุ่มบริษัทสินค้าหรูหราที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ข้อมูลปี ค.ศ. 2024)

ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพสูง

เป็นที่รู้กันดีว่าสินค้าของแบรนด์นี้มีชื่อเสียงในเรื่องคุณภาพที่สูง โดยมีจุดเด่นดังต่อไปนี้:

  • วัสดุ : ใช้วัสดุคุณภาพสูงเท่านั้น เช่น หนังแท้ ผ้าใบ แคนวาส โลหะมีค่า อัญมณี ทุกชิ้นผ่านการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ได้วัสดุที่ดีที่สุด
  • การออกแบบ : สินค้าออกแบบโดยดีไซเนอร์ชั้นนำ เน้นความคลาสสิก เหนือกาลเวลา ผสมผสานกับเทรนด์แฟชั่นปัจจุบัน ทำให้สินค้าดูทันสมัยและน่าดึงดูด
  • งานฝีมือ : สินค้าผลิตด้วยมือโดยช่างฝีมือที่มีประสบการณ์สูง ทุกชิ้นผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าได้มาตรฐานสูงสุด
  • ความทนทาน : สินค้ามีชื่อเสียงในเรื่องความทนทาน ใช้งานได้ยาวนานหลายปี คุ้มค่ากับการลงทุน

Flagship Products !

  • กระเป๋า : ผลิตจากหนังแท้คุณภาพสูง ทนทาน ใช้งานได้หลายปี มีดีไซน์ที่หลากหลาย ทั้งแบบคลาสสิกและแบบทันสมัย
  • รองเท้า : ผลิตจากหนังแท้ หรือผ้า ดีไซน์สวยงาม ใส่สบาย ทนทาน
  • เครื่องประดับ : ผลิตจากวัสดุชั้นดี ดีไซน์สวยงาม เหมาะกับทุกโอกาส
  • น้ำหอม : ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ กลิ่นหอมหรูหรา ติดทนนาน

อย่างไรก็ตาม สินค้ามีราคาค่อนข้างแพง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพสูง ดีไซน์สวยงาม และทนทาน

โมโนแกรมดอกไม้สี่แฉก

“ทำไมโลโก้แบรนด์ Louis Vuitton ถึงจดจำง่าย ทำออกมาได้ดี และหรูหรา ?” คำถามนี้น่าสนใจและชวนติดตาม โลโก้เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้ และถึงแม้ว่าจะทำออกมาสวย แต่การทำให้คนทั้งโลกจดจำได้ง่าย.. กลับเป็นเรื่องตรงกันข้าม ไม่มีใครกล้าปฏิเสธหากจะบอกว่าคนที่เป็น “ลูกค้า” หรือ “ยังไม่เคยเป็นลูกค้า” ของแบรนด์นี้มาก่อน ต่างต้องรู้สึกตราตรึงติดตาด้วยมนต์สเน่ห์ของโลโก้ “LV” ผสมผสานกับลายโมโนแกรมดอกไม้สี่แฉก กลายเป็นหนึ่งในโลโก้แบรนด์ที่จดจำง่ายและโด่งดังที่สุดในโลก

แรงบันดาลใจ

โลโก้ LV ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหลายแหล่ง ดังนี้

  • ลายคามอน (Kamon) ของญี่ปุ่น : ลวดลายนี้เป็นลายประจำตระกูลที่ใช้สืบทอดกันมาในญี่ปุ่น Georges Vuitton ลูกชายของผู้ก่อตั้งแบรนด์ นำลวดลายคามอนมาประยุกต์ใช้กับโลโก้ LV ในปี 1896 ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
    • เพื่อป้องกันการลอกเลียนแบบ : ในยุคนั้น กระเป๋ามักถูกเลียนแบบลวดลายอยู่บ่อยครั้ง ลายคามอนมีเอกลักษณ์และยากต่อการลอกเลียนแบบ
    • สื่อถึงวัฒนธรรมตะวันออก : ลายคามอนได้รับความนิยมในยุโรปช่วงนั้น การนำลายคามอนมาใช้เป็นการแสดงถึงความทันสมัยและความมีรสนิยม
  • รูปปั้นนางอัปสร : บางคนเชื่อว่า Georges Vuitton ได้แรงบันดาลใจจากรูปปั้นนางอัปสรในนครวัด ประเทศกัมพูชา มาออกแบบโลโก้
  • ลายกระเบื้อง : บางคนเชื่อว่า Georges Vuitton ได้แรงบันดาลใจจากลายกระเบื้องในพระราชวังแวร์ซาย ประเทศฝรั่งเศส มาออกแบบโลโก้

เอกลักษณ์และจดจำได้ง่าย

โลโก้แบรนด์ Louis Vuitton นั้นมีเอกลักษณ์และจดจำได้ง่าย ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

  • การออกแบบที่เรียบง่าย : โลโก้ประกอบด้วยตัวอักษรย่อ “LV” และลายโมโนแกรมดอกไม้สี่แฉก การออกแบบที่เรียบง่ายนี้ช่วยให้จดจำได้ง่าย และดูดีบนผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท
  • การผสมผสานตัวอักษรและลาย : การผสมผสานตัวอักษรย่อ “LV” เข้ากับลายโมโนแกรม ทำให้โลโก้ดูมีเอกลักษณ์และน่าสนใจ
  • การใช้สี : มักใช้สีน้ำตาลเข้ม สีนี้สื่อถึงความหรูหรา คลาสสิก และเหนือกาลเวลา
  • ความสมดุล : องค์ประกอบต่างๆ ในโลโก้ เช่น ตัวอักษร ลายโมโนแกรม และเส้นกรอบ จัดวางอย่างสมดุล ทำให้โลดูสบายตาและน่ามอง
  • ความคงทน : แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรก ความคงทนนี้ช่วยสร้างความคุ้นเคย และทำให้โลโก้ดูน่าเชื่อถือ

เสริมสร้างด้วยปัจจัยอื่น

นอกจากการออกแบบโลโก้ที่โดดเด่นแล้ว ยังได้รับการเสริมสร้างด้วยปัจจัยอื่นๆ ดังนี้

  • ชื่อเสียงแบรนด์ : ป็นหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลก ชื่อเสียงของแบรนด์ช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับโลโก้
  • คุณภาพ : มีคุณภาพสูง ผลิตจากวัสดุชั้นดี การออกแบบที่ประณีต โลโก้บนสินค้าจึงเป็นตัวแทนของคุณภาพและความหรูหรา
  • การตลาด : ใช้กลยุทธ์การตลาดที่หลากหลาย เพื่อโปรโมทแบรนด์และโลโก้ ทำให้โลโก้เป็นที่รู้จักและจดจำไปทั่วโลก

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ โลโก้ LV จึงกลายเป็นหนึ่งในโลโก้แบรนด์ที่โด่งดังและมีมูลค่ามากที่สุดในโลก โลโก้ของแบรนด์นั้น เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของ ความหรูหรา งานฝีมือ และ ประวัติศาสตร์อันยาวนาน ซึ่งยังคงความคลาสสิกและเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน

Tips: เตรียม หมึกซับลิเมชั่น เตรียม กระดาษซับลิเมชั่น และ กระดาษรองรีด สั่งปริ้นลายโมโนแกรม LV มาทำซับลิเมชั่นบนเสื้อคุณดูก็ได้ รับรองสวนน่าใส่มากๆ แต่อย่านำไปขายล่ะ เดี๋ยวติดลิขสิทธิ์ !

Louis Vuitton

โมเดลธุรกิจของ Louis Vuitton ในปัจจุบัน (ปี 2024)

มาดูโมเดลธุรกิจกันบ้าง ว่าอะไรที่ทำให้แบรนด์เล็กๆ ของช่างทำกระเป๋าคนนึง ที่ต่อยอดไปเป็นธุรกิจครอบครัว และสามารถส่งต่อกันรุ่นสู่รุ่น จนกระทั้งสามารถบริหารให้แบรนด์ Louis Vuitton ประสบความสำเร็จอย่างมากมายในฐานะแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลก โมเดลธุรกิจของพวกเขาประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญดังต่อไปนี้:

สินค้า

  • ความหรูหรา : มุ่งเน้นไปที่การผลิตสินค้าหรูหรา โดยใช้วัสดุคุณภาพสูง การออกแบบที่ทันสมัย และงานฝีมือที่ประณีต สินค้าหลักๆ ของพวกเขา ได้แก่ กระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ น้ำหอม และนาฬิกา
  • ควบคุมคุณภาพ : มีชื่อเสียงในเรื่องการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด สินค้าทุกชิ้นผลิตขึ้นในโรงงานของตัวเอง ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าได้มาตรฐานสูงสุด
  • กลยุทธ์การไม่ลดราคา : ไม่เคยลดราคาสินค้า กลยุทธ์นี้ช่วยรักษาภาพลักษณ์แบรนด์และความพิเศษของสินค้า

การตลาด

  • ภาพลักษณ์ : สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่หรูหรา มีระดับ เหนือกาลเวลา และเข้าถึงได้ยาก
  • การโฆษณา : ใช้กลยุทธ์การโฆษณาที่หลากหลาย เช่น การโฆษณาทางสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อออนไลน์ ป้ายโฆษณา และการสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ
  • ดิจิทัล : ให้ความสำคัญกับช่องทางดิจิทัล มีเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียที่แข็งแกร่ง นำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่น และสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า
  • Influencer : มักจะร่วมมือกับ Influencer หลากหลายวงการ ทั้ง ดารา และบุคคลที่มีชื่อเสียง เพื่อโปรโมทสินค้าและแบรนด์

การจัดจำหน่าย

  • ร้านค้า : มีเครือข่ายร้านค้าหรูหราทั่วโลก ตั้งอยู่ในแหล่งช้อปปิ้งที่สำคัญ ตกแต่งร้านอย่างสวยงาม มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่หรูหรา
  • การขายออนไลน์ : มีเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าออนไลน์ได้
  • ห้างสรรพสินค้า : ยังมีสินค้าวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำบางแห่ง

กลยุทธ์อื่นๆ

  • การสร้างประสบการณ์ : มุ่งมั่นสร้างประสบการณ์ที่พิเศษให้กับลูกค้า เช่น การจัดแฟชั่นโชว์ กิจกรรมพิเศษ และบริการส่วนตัว
  • ความยั่งยืน : ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดการก่อมลพิษ
  • การผสมผสาน : มักจะผสมผสานดีไซน์คลาสสิกกับเทรนด์แฟชั่นปัจจุบัน ทำให้สินค้าของพวกเขาทันสมัยและน่าดึงดูด

Key Takeaways

โมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่งของแบรนด์ Louis Vuitton ช่วยให้แบรนด์ประสบความสำเร็จอย่างมาก กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีค่าที่สุดในโลก และเป็นที่นิยมของลูกค้าทั่วโลก คีย์เวิร์ดสำคัญคือแบรนด์มุ่งเน้นไปที่คุณภาพสินค้า สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่แข็งแกร่ง มีกลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาด และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย รู้จักสร้างกระแส และปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ที่สำคัญที่สุดคือหนึ่งในเรือธงที่ดึงดูดลูกค้าได้ทุกเจเนอเรชัน ก็คือ โลโก้ลายโมโนแกรมอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของ ความหรูหรา งานฝีมือ และ ประวัติศาสตร์อันยาวนาน ซึ่งยังคงความคลาสสิกและเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน องค์ประกอบเหล่านี้ผสมผสานกันและช่วยทำให้แบรนด์แยกตัวออกจากคู่แข่ง และกลายเป็นหนึ่งในโลโก้แบรนด์ที่โด่งดังและประสบความสำเร็จอย่างมากมายในฐานะแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลก มียอดขายหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี

Credit Images : https://th.louisvuitton.com/

สาระทั่วไป
25/06/2024

รวม ไอเดียออกแบบโลโก้ งานกราฟิกดีไซน์ ตอบโจทย์ตรงเป้าทุกธุรกิจ

การออกแบบกราฟิกดีไซน์ เพื่อสร้างแบรนดิ้งของคุณให้สามารถตอบโจทย์ธุรกิจได้ตามเป้าหมาย มีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาในหลาย ๆ ปัจจัยด้วยกัน ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่างานที่ได้ทำการออกแบบมานั้น ไม่เพียงแค่ดูดีเท่านั้น แต่ยังมีประสิทธิภาพในการสื่อสารและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้ตรงกับความต้องการมากที่สุด และแน่นอนว่าสิ่งแรกที่จะสร้าง first impression รักแรกพบให้กับกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ นั่นคือพลังจากอิทธิพลของ “โลโก้” ซึ่งถ้าหากในตอนนี้คุณยังไม่มี ไอเดียออกแบบโลโก้ ดี ๆ สำหรับใช้ในการออกแบบสร้างแบรนด์ หรือทำ Brand Archetypes ให้ธุรกิจของตัวคุณเอง ไม่ต้องห่วง… ถือว่าเป็นโชคดีที่ในยุคแห่งเทคโนโลยีและโซเชียลเน็ตเวิร์คที่ทำให้คุณสามารถเข้ามาเลือกดูงานออกแบบจากแหล่งไอเดียตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ทั่วทุกมุมโลก รับรองว่าคุณจะมีไอเดียใหม่ ๆ มาต่อยอดงานได้อย่างแน่นอน.. และต่อไปนี้คือแหล่งที่มาของงานออกแบบกราฟิกดีไซน์ที่ user ทั่วโลกต่างยอมรับ

1. Pinterest

แหล่งรวมภาพ งานกราฟิก งานออกแบบที่หลากหลาย ที่นี่คุณสามารถเลือกงานสวย ๆ เพื่อนำมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบได้มากมาย ข้อดีของการหาไอเดียจาก Pinterest มีดังนี้

ไอเดียออกแบบโลโก้

ความหลากหลายของเนื้อหา

หลากหลายหมวดหมู่ : Pinterest มีเนื้อหาที่ครอบคลุมและหลากหลายหมวดหมู่ เช่น การ ออกแบบกราฟิก แฟชั่น อาหาร การตกแต่งบ้าน งานศิลปะ และอื่น ๆ

แนวคิดและสไตล์ที่หลากหลาย : มีงานออกแบบจากทั่วโลกที่นำเสนอแนวคิดและสไตล์ที่แตกต่างกัน ทำให้คุณสามารถหาไอเดียใหม่ ๆ ได้ง่ายแบบไม่จำกัด

ค้นหาและจัดระเบียบได้ง่าย

ระบบค้นหาที่มีประสิทธิภาพ : ทำให้คุณสามารถค้นหาไอเดียตามคำค้นหรือหมวดหมู่ที่สนใจได้สะดวก

บอร์ดส่วนตัว : ผู้ใช้สามารถสร้างบอร์ดส่วนตัวเพื่อเก็บรวบรวมไอเดียที่ชื่นชอบและจัดระเบียบให้เป็นหมวดหมู่ได้ตามต้องการ

การสร้างแรงบันดาลใจและแนวคิดใหม่ ๆ

ภาพตัวอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจ : ที่นี่เป็นแหล่งรวมภาพตัวอย่างที่น่าสนใจและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ใช้งานมากมาย ซึ่งช่วยให้คุณมีไอเดียใหม่ ๆ ในการออกแบบได้ง่ายมากขึ้น

เทรนด์และแนวโน้ม : สามารถติดตามเทรนด์และแนวโน้มการออกแบบล่าสุดได้จากภาพที่มีคนแชร์และกำลังเป็นที่ได้รับความนิยม

การเรียนรู้และพัฒนา

บทความและแหล่งข้อมูลเพิ่มเติม : นอกจากจะเป็นเว็บไซต์ที่รวมภาพตัวอย่างมากมายแล้ว ก็ยังมีบทความและลิงก์ที่เชื่อมไปยังแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง เช่น บทความเกี่ยวกับ งานออกแบบ เทคนิคใหม่ ๆ และเทรนด์ที่กำลังมาแรงให้เลือกดูอีกด้วย

เรียกได้ว่าเว็บไซต์ Pinterest เป็นแหล่งไอเดียยอดนิยมที่มีประโยชน์มากสำหรับนัก ออกแบบกราฟิก และผู้ที่ต้องการหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ในการทำงาน การใช้ Pinterest ให้มีประสิทธิภาพจะช่วยทำให้คุณสามารถพัฒนาและสร้างสรรค์งานออกแบบที่ตอบโจทย์และน่าสนใจได้มากยิ่งขึ้น

2. Behance 

แพลตฟอร์มยอดนิยมที่นักออกแบบสามารถแชร์ผลงาน และดูผลงานจากผู้อื่นเพื่อนำมาเป็นไอเดียใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์ผลงานได้มากมาย ทั้งนี้ข้อดีของการใช้เว็บไซต์ Behance มีหลายเรื่องด้วยกัน ดังนี้

ไอเดียออกแบบโลโก้

ผลงานคุณภาพสูงจากทั่วโลก

งานออกแบบระดับมืออาชีพ : Behance เป็นแหล่งรวบรวมผลงานจากนักออกแบบและศิลปินระดับมืออาชีพจากทั่วโลก ทำให้คุณสามารถเห็นผลงานที่มีคุณภาพและนำมาสร้างเป็นแรงบันดาลใจได้

งานออกแบบ หลากหลายประเภท : ที่เว็บนี้มีผลงานให้เลือกชมหลากหลายสาขา เช่น การออกแบบกราฟิก แฟชั่น ออกแบบผลิตภัณฑ์ แอนิเมชัน ภาพถ่าย และอื่น ๆ

การค้นหาและการจัดระเบียบที่สะดวก

การค้นหาแบบเฉพาะเจาะจง : คุณสามารถค้นหาผลงานตามประเภทงาน, สไตล์, เครื่องมือที่ใช้ หรือแม้กระทั่งตำแหน่งที่ตั้งของนักออกแบบที่คุณสนใจได้ตามต้องการ

การจัดระเบียบผลงาน : ผู้ใช้สามารถสร้างคอลเลกชันส่วนตัวเพื่อรวบรวมผลงานที่ชื่นชอบและแบ่งเป็นหมวดหมู่ได้ตามต้องการ

การติดตามผลงานของนักออกแบบ

ติดตามนักออกแบบที่ชื่นชอบ : คุณสามารถติดตามผลงานของนักออกแบบหรือสตูดิโอที่คุณชื่นชอบได้ อีกทั้งยังสามารถรับการแจ้งเตือนเมื่อมีผลงานมาใหม่ได้อีกด้วย

การสร้างเครือข่าย : Behance เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อและสร้างเครือข่ายกับนักออกแบบคนอื่น ๆ และผู้ว่าจ้างงานได้อย่างอิสระ

Behance เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ช่วยให้นักออกแบบสามารถใช้เพื่อค้นหาแรงบันดาลใจ และนำมาต่อยอดไอเดียงานออกแบบใหม่ ๆ ได้ อีกทั้งยังสามารถสร้างเครือข่ายในวงการออกแบบ รวมไปถึงสร้างโอกาสทางอาชีพได้มากขึ้นอีกด้วย

3. Dribbble

แพลตฟอร์มสำหรับนักออกแบบที่ต้องการแสดงผลงานและหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ที่นี่เป็นอีกหนึ่งเว็บไซต์ที่มีผลงานการออกแบบที่หลากหลาย และยังใช้งานได้ง่ายมาก ๆ อีกด้วย

ไอเดียออกแบบโลโก้

ชุมชนนักออกแบบ

เครือข่ายนักออกแบบมืออาชีพ : Dribbble รวบรวมนักออกแบบและศิลปินจากทั่วโลก ซึ่งทำให้คุณสามารถเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้เชี่ยวชาญในวงการได้ง่ายมากขึ้น

การแสดงผลงาน : ผู้ใช้สามารถแสดงผลงานของตนเองและเปิดรับความคิดเห็นจากชุมชน ซึ่งช่วยให้สามารถพัฒนาทักษะและปรับปรุงผลงานให้ดีได้มากขึ้น

ความหลากหลายของงานออกแบบ และ ไอเดียออกแบบโลโก้

งานออกแบบหลากหลายประเภท : Dribbble มีผลงานที่น่าสนใจหลากหลายสาขาด้วยกัน เช่น การ ออกแบบกราฟิก เว็บดีไซน์ ออกแบบไอคอน แอนิเมชัน UX/UI และอื่น ๆ

แนวคิดและสไตล์ที่หลากหลาย : แหล่งรวมผลงานหลากหลายรูปแบบ โดยนำเสนอแนวคิดและสไตล์ที่แตกต่างกันออกไป ทำให้คุณสามารถหาไอเดียใหม่ ๆ และมุมมองที่หลากหลายได้มากขึ้น

ระบบค้นหาและการติดตามที่มีประสิทธิภาพ

การค้นหางานตามหมวดหมู่ : คุณสามารถค้นหางานตามหมวดหมู่ คำค้น หรือแท็กที่สนใจได้ตามต้องการ อีกทั้งยังมีฟังก์ชันที่ใช้งานได้ง่ายอีกด้วย

การติดตามผลงานนักออกแบบ : ผู้ใช้สามารถติดตามผลงานของนักออกแบบที่ชื่นชอบ และรับการแจ้งเตือนเมื่อมีผลงานใหม่ ๆ ที่น่าสนใจได้

การสร้างแรงบันดาลใจและการพัฒนา

แรงบันดาลใจจากผลงานหลายรูปแบบ : Dribbble มีผลงานมากมายที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักออกแบบได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในเรื่องของสไตล์ สีสัน และการจัดวาง

การเรียนรู้จากผู้อื่น : นอกจากนี้คุณยังสามารถเรียนรู้เทคนิค และแนวคิดใหม่ ๆ จากผลงานของนักออกแบบคนอื่น ๆ ในชุมชนได้อีกด้วย

เพียง 3 เว็บไซต์ยอดนิยมนี้ คุณก็น่าจะได้ ไอเดียออกแบบโลโก้ แบบจุก ๆ ไปเรียบร้อยแล้วแหละ แต่ถ้ายังไม่พอ ! นอกจากเว็บไซต์ข้างต้น ก็ยังมีแหล่งไอเดียดี ๆ อีกหลายเว็บด้วยกัน เช่น Canva , The design blog , Flickr , DeviantArt เป็นต้น ซึ่งคุณสามารถเข้าไปเลือกชมผลงานการออกแบบกราฟิกของศิลปินได้ตามต้องการ และที่สำคัญเว็บไซต์ต่าง ๆ เหล่านี้ยังเปิดให้คุณนำผลงานมาแสดงเพื่อหารายได้เสริมได้อีกด้วย.. น่าสนใจใช่ไหมล่ะ ! หยิบ กระดาษทรานเฟอร์ หรือ กระดาษซับลิเมชั่น ที่คุณมีตามต้องการ เตรียม หมึกซับลิเมชั่น และ เครื่องรีดร้อน ของคุณให้พร้อมแล้วลุยกันเลย !

Cover Image : Image by freepik

สาระทั่วไป
23/05/2024

ออกแบบสินค้า Build-up แบรนด์ให้น่าจดจำ

ปัจจุบันการทำธุรกิจให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง มีความจำเป็นที่จะต้องทำการตลาด หรือสร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้าให้เป็นเอกลักษณ์ และสามารถจดจำได้ง่าย ซึ่งหนึ่งในเทคนิคทางการตลาดที่ทุกธุรกิจไม่ควรมองข้ามเลยก็คือ การ ออกแบบสินค้า และสกิลด้านการออกแบบกราฟิกดีไซน์ สกิลสำคัญที่จะเข้ามาช่วยทำให้สินค้าจดจำได้ง่าย และมีความแตกต่างจากคู่แข่ง ในบทความนี้เราได้รวบรวมเทคนิคการออกแบบ เพื่อสร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นเอกลักษณ์และน่าจดจำมาฝาก แต่จะมีทริค หรือขั้นตอนการทำงานอย่างไรบ้างนั้น อย่ารอช้า ตามเรามาดูกันได้เลย.. รับรองว่าสินค้า หรือบริการของคุณจะเป็นที่รู้จักในวงกว้างอย่างแน่นอน

7 เคล็ดลับ ออกแบบสินค้าให้แบรนด์ของคุณเป็นที่จดจำ

การ ออกแบบกราฟิกดีไซน์ เพื่อสร้างแบรนด์สินค้า หรือบริการให้เป็นที่จดจำได้ง่าย เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ทาง การตลาด ที่ช่วยเพิ่มยอดขาย อีกทั้งยังช่วยทำให้แบรนด์สินค้า หรือบริการเป็นที่รู้จักในวงกว้างได้มากขึ้นอีกด้วย ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การออกแบบกราฟิก เพื่อสร้างภาพที่น่าจดจำให้กับสินค้า หรือบริการ จึงเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่สำคัญต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากมันจะช่วยทำให้สินค้า หรือบริการของคุณติดอยู่ในใจของลูกค้าได้อย่างยั่งยืนแล้ว ก็ยังสามารถสร้างความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์จากคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ๆ เลยทีเดียว

ออกแบบสินค้า
Image by Freepik

1. การออกแบบสัญลักษณ์และโลโก้ที่สะดุดตา

การ ออกแบบโลโก้ ให้มีความโดดเด่นและสื่อความหมายที่สอดคล้องกันกับสินค้า หรือบริการอย่างชัดเจน รวมไปถึงมีความแตกต่างจากคู่แข่ง จะช่วยทำให้สินค้าของคุณเป็นที่จดจำได้ง่ายมากขึ้น 

2. การใช้สีอย่างเหมาะสม

สี มีอิทธิพลต่ออารมณ์และการรับรู้ของคนเป็นอย่างมาก ดังนั้นการ ออกแบบกราฟิกดีไซน์ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเลือกใช้สีที่สอดคล้องกับบรรยากาศและความรู้สึกที่คุณต้องการสร้างขึ้นสำหรับสินค้า หรือบริการให้มากที่สุด

3. การใช้ภาพและกราฟิก

การใช้ภาพและกราฟิก ที่มีคุณภาพ และเป็นงานที่สร้างสรรค์ จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจ และช่วยทำให้สินค้าของคุณเป็นที่จดจำได้ง่าย อีกทั้งยังติดอยู่ในใจของลูกค้าได้นานขึ้น

ออกแบบสินค้า
Image by Freepik

4. การใช้การออกแบบที่เป็นมาตรฐาน

การใช้การออกแบบที่เป็นมาตรฐาน และเป็นรูปแบบที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพ จะสามารถช่วยทำให้สินค้าของคุณดูน่าเชื่อถือ และมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น

5. การเน้นข้อความที่สื่อความหมาย

การใช้ข้อความที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน และสามารถสื่อสารได้อย่างสร้างสรรค์ จะสามารถช่วยเพิ่มความน่าจดจำให้กับสินค้า หรือบริการของคุณได้ ซึ่งอาจเลือกใช้คำที่โดดเด่น หรือคำสร้างสรรค์ที่เหมาะสม

6. การทำการตลาดแบบ Inbound Marketing

การใช้เนื้อหาที่มีคุณค่า เพื่อสร้างความสนใจและความไว้วางใจต่อลูกค้า ด้วยการให้ข้อมูลที่มีประโยชน์และเชื่อถือได้เกี่ยวกับสินค้า หรือบริการ จะเป็นการช่วยทำให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักได้เป็นอย่างดี

7. การทดสอบและปรับปรุง

หลังจากที่คุณ ออกแบบสินค้า และวางแผนกลยุทธ์ทาง การตลาด ของคุณเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรทำการทดสอบและเก็บข้อมูล เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุดด้วย

ออกแบบสินค้า ให้มี “Attraction” สำคัญต่อธุรกิจอย่างไร

การ ออกแบบสินค้า การออกแบบกราฟิกดีไซน์ เพื่อสร้างแบรนด์สินค้าหรือบริการ ให้เป็นที่น่าจดจำนั้น ไม่ได้เป็นแค่เพียงการสร้างภาพลักษณ์ที่ดูดีเท่านั้น แต่ยังช่วยทำให้การวางแผน และการใช้กลยุทธ์ เทคนิคทาง การตลาด มีประสิทธิภาพที่ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยทำให้คุณสามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสมและตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากที่สุด 

ออกแบบสินค้า
Image by Freepik

หนึ่งในแผนการตลาดที่สามารถตอบโจทย์ได้ตรงต่อสถานการณ์ในปัจจุบันมากที่สุดก็คือ การโปรโมท หรือการสื่อสารตามช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ซึ่งหากต้องการให้สินค้า หรือบริการเป็นที่รู้จัก และจดจำได้ง่าย ก็มีความจำเป็นที่ต้องใช้กราฟิกดีไซน์ ออกแบบสินค้า เข้ามาช่วยทำให้สินค้า หรือบริการของคุณมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น นอกจากการ ออกแบบกราฟิกดีไซน์ จะมีความสำคัญต่อการสร้างสินค้าให้เป็นที่จดจำแล้ว ก็ยังมีความสำคัญในด้านต่าง ๆ อีกหลายด้านด้วยกัน

  • สร้างความสัมพันธ์และความเชื่อมั่น : การออกแบบกราฟิกที่ดีสามารถช่วยสร้างความรู้สึกประทับใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับสินค้า หรือบริการของคุณได้ เพราะลูกค้ามักจะจดจำสินค้าที่มีรูปแบบและดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์
  • สร้างความแตกต่าง : การใช้ดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์และโดดเด่น จะช่วยทำให้สินค้า หรือบริการ มีความแตกต่างจากคู่แข่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมการจดจำและช่วยให้คุณได้รับผลตอบรับจากตลาดได้ดีมากขึ้น
  • สร้างความสนใจ และเพิ่มความต้องการทางการตลาด : ดีไซน์ที่สวย เป็นเอกลักษณ์จดจำง่าย จะสามารถช่วยทำให้สินค้า หรือบริการเป็นที่ต้องการของตลาดได้มากขึ้น 
  • การสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ : ดีไซน์ที่จดจำง่าย และเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากคู่แข่ง จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ของคุณได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อลูกค้าเห็นโลโก้ หรือดีไซน์ ก็จะจำได้ในทันที อีกทั้งยังช่วยเสริมความมั่นใจให้กับลูกค้าได้มากขึ้นอีกด้วย 
  • เพิ่มยอดขายและสร้างความจำที่ดีให้กับลูกค้า : ดีไซน์ที่ดี สามารถช่วยเพิ่มยอดขายได้ ลูกค้าจะกลับมาซื้อสินค้า หรือบริการของคุณอีกครั้ง เมื่อพวกเขาจดจำดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ และเป็นจุดเด่นสำคัญของคุณได้

Cover Image : Image by Freepik

สาระทั่วไป
22/04/2024

เกาะกระแส เทรนด์งานกราฟิกดีไซน์ 2024 ที่กำลังมาแรงในยุคดิจิตัล

ปัจจุบันเราได้เห็นงานดีไซน์ การออกแบบ ศิลปะ ใหม่ ๆ กันมากมาย และที่แน่ ๆ หลายคนคงจะคุ้นชินกับคำว่า AI หรือ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ มาบ้างแล้วอย่างแน่นอน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า เทคโนโลยี AI ได้เข้ามามีบทบาทในวงการศิลปะการออกแบบ และงานด้านกราฟิกดีไซน์มากขึ้นในทุกวัน และในบทความนี้เราจะพาคุณไปส่อง เทรนด์งานกราฟิกดีไซน์ ที่กำลังมาแรงอย่างในช่วงนี้กันว่ามีอะไรบ้าง อย่ารอช้า ตามมาดูกันเลย

สำหรับใครที่อยากย้อนอดีตดูเทรนด์งานกราฟิกดีไซน์ปีที่ผ่านมา ไปดูได้ที่ https://www.bestsublimationthai.com/new/general/trends-graphic-design-2023-for-sublimation-technique/

กระแสปัญญาประดิษฐ์ AI Assistance กับ เทรนด์งานกราฟิกดีไซน์

ก่อนอื่นชาวกราฟิกดีไซน์เนอร์ นักออกแบบทุกคนคงทราบดีอยู่เแล้วว่า การนำ AI เข้ามาช่วยในการดีไซน์งานให้ออกมาสมบูรณ์แบบ เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ทำให้ประหยัดเวลาไปได้มากเลยทีเดียว อีกทั้ง AI ยังช่วยวิเคราะห์องค์ประกอบต่าง ๆ เช่น สี แบบอักษร สไตล์ เพื่อให้ชิ้นงานออกมาสอดคล้องกัน เพิ่มความสวยงาม ทันสมัย เป็นที่น่าสนใจได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว และรายชื่องานเทรนด์งานออกแบบต่อไปนี้คุณสามารถเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน หรือนำไปต่อยอดในงานออกแบบของคุณได้เลย รับรองสนุกแน่นอน และเจ้า AI ที่จะคอยช่วยเหลือคุณในงานนี้ ได้แก่ เครื่องมือที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ก็มีหลายโปรแกรมด้วยกัน เช่น Midjourney, Canva AI, DALL-E เป็นต้น.. ลุย !

Barbie’s Pink Highlight

เทรนด์งานกราฟิกดีไซน์
Image by freepik

เป็นเทรนด์การดีไซน์ที่ฮิตเปรี้ยงปร้างที่เกิดขึ้นจากภาพยนตร์ Barbie (2023) ซึ่งหลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย ก็มีกระแส Barbenheimer โดยใช้ธีมสีชมพูสดใส มาผสมกับลูกกวาดสีหวาน ออกแบบมาเป็น Element ต่าง ๆ ทำให้เกิดมีการแมตช์สีกันขึ้นระหว่าง สีชมพู-ดำ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่มาแรงอย่างมากเลยทีเดียว

Geometric Shapes Highlight

เทรนด์งานกราฟิกดีไซน์
Image by freepik

เทรนด์นี้มาในรูปแบบภาพทรงเรขาคณิตที่ใช้ในการช่วยเพิ่มความลึก และการกระจายแสง นอกจากนี้ยังนำมาออกแบบสร้างเอฟเฟกต์ต่าง ๆ ให้น่าดึงดูด คล้ายแนวอาร์ตเดโค (Art Deco) แม้ว่าจะเป็นเทรนด์เก่าแต่ก็มีแนวโน้มที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าหากนำมาปรับแต่งใหม่ ก็ช่วยเพิ่มชิ้นงานให้มีความทันสมัย ดูโดดเด่นไม่แพ้เทรนด์อื่น ๆ แน่นอน

Dot Display Graphics Highlight

เทรนด์งานกราฟิกดีไซน์
Image by Mateus Andre on Freepik

เป็นเทรนด์ที่เน้นการใช้จุดขาวดำ ในงานดีไซน์และแบบตัวอักษรเป็นหลัก เพิ่มความล้ำสมัย ดูมินิมอล และย้อนยุคไปในตัว การนำเทรนด์จุดมาใช้ออกแบบ ดีไซน์ หรือสร้างสรรค์ชิ้นงาน ทำให้เกิดความคลาสิก ในศิลปะแบบร่วมสมัยและย้อนยุคได้ในช่วงเวลาเดียวกัน เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่น้อยเลยทีเดียว

Maximalism Highlight

เทรนด์งานกราฟิกดีไซน์
Image by freepik

เป็น เทรนด์งานกราฟิกดีไซน์ ที่เน้นความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสีสัน และรูปทรง โดยใช้ภาพที่มีลวดลาย หรือใช้วัสดุที่มีสีสันสวยงาม ทำให้ชิ้นงานมีความสนุกสนาน เพิ่มความสดใสและมุ่งเน้นให้สิ่งต่าง ๆ ที่แสดงออกมานั้นเป็นจุดเด่น หรือเป็นจุดสนใจ โดยทั่วไปเทรนด์นี้จะทำให้มีความรู้สึกว่าการตกแต่งนั้นมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น แสดงถึงตัวตนออกมาได้เป็นอย่างดี

Retro Futurism Highlight

Image by freepik

มีการผสมผสานระหว่างสไตล์ย้อนยุคและสไตล์อนาคต โดยใช้สีสันที่สดใส รูปทรงที่เป็นเอฟเฟกต์ และภาพที่มีลวดลาย คล้ายแนวภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ย้อนยุค เพื่อสร้างความสนุกสนานและความพิเศษให้กับผู้ที่ได้เห็น หรือรับชมผลงาน เทรนด์นี้ถูกนำเข้ามาใช้ในงานศิลปะ ดีไซน์ ที่เกี่ยวกับภาพยนตร์ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ และเทคโนโลยีในปัจจุบัน

Pixels Rediscovered Highlight

เทรนด์งานกราฟิกดีไซน์
Image by rawpixel.com on Freepik

เป็นเทรนด์ที่นำเสนอเรื่องราวเก่าๆ ในมุมมอง หรือรูปแบบใหม่ เช่น การนำเสนอผลงานศิลปะเก่าในรูปแบบดิจิทัลอาร์ต หรือการนำเสนอเทรนด์การแต่งรูปใหม่โดยใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดยใช้วิธีการผสมผสานพิกเซลย้อนยุค (8 bit pixel) กับสไตล์สมัยใหม่ ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากเว็บไซต์ในยุคแรก หรือ เกม 8 บิต เพื่อสร้างความสนใจใหม่ๆ โดยไม่จำเป็นต้องสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาจริง ๆ

Reeded Glass Effect Highlight

เทรนด์งานกราฟิกดีไซน์
Image by rawpixel.com on Freepik

เป็นเทรนด์การออกแบบภายใน หรือออกแบบสถาปัตยกรรม ซึ่งเป็นการอธิบายให้เห็นถึงการใช้แสงและเงา โดยการเน้นไปที่กระจกที่มีลักษณะยาวและแคบ เรียกได้ว่าเป็นการสร้างสรรค์เอฟเฟกต์ที่น่าสนใจ เพราะมีลวดลายที่สวยงามในพื้นผิวกระจกนั้น การใช้แสงให้มีการสร้างเงาในลวดลายของกระจกแบบนี้อาจทำให้เกิดเอฟเฟกต์ที่น่าสนใจและมีความลึกลับ ดูน่าค้นหามากขึ้น ทั้งนี้การสร้างชิ้นงานในรูปแบบเทรนด์นี้ ขึ้นอยู่กับความต้องการและการออกแบบของแต่ละโปรเจกต์ด้วย

คอยอัปเดตเทรนด์ใหม่เป็นประจำ

ทั้งหมดนี้ก็เป็น เทรนด์งานกราฟิกดีไซน์ ที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ และก็ยังมีเทรนด์ดี ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ซึ่งในบางเทรนด์นั้น เราเชื่อว่าหลายๆ คนก็คงจะได้เห็นผลงานกันไปบ้างแล้ว และในแต่ละรูปแบบนั้นก็จะมีเอกลักษณ์ที่เป็นจุดเด่นแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้การสร้างสรรค์ผลงานให้ออกมาได้ตรงกับความต้องการ ก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการสร้างงานแต่ละโปรเจคเป็นหลัก แต่นักออกแบบต้องไม่ลืมว่า ในทุก ๆ ปี เทรนด์ต่าง ๆ เหล่านี้ก็มีจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหากคุณอยากสร้างผลงานให้ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมาย ต้องคอยอัปเดตเทรนด์ใหม่ ๆ เป็นประจำ เพื่อให้ได้ผลงานที่ทันสมัย ตรงกับความต้องการ และไม่ตกกระแสความนิยมให้ได้มากที่สุด

Cover Image : Image by freepik

สาระทั่วไป
16/03/2024

“สร้างอิทธิพลต่อการซื้อ” เทคนิคการจับคู่สี ออกแบบโลโก้ งานสกรีนเสื้อยืด

หากใครกำลังออกแบบโลโก้ คิดลายงานสกรีนเสื้ออยู่ รวมไปถึงทำป้ายร้าน ป้ายโฆษณา แบนเนอร์ต่าง ๆ และยังไม่แน่ใจว่าจะต้องเลือกสีอะไรดี สีที่ชอบ สีที่ใช้ สีที่ถูกโฉลก หรือมีการจับคู่สีอย่างไรดี เพื่อให้งานที่ดีไซน์ออกมาดูสอดคล้องกัน สวยงาม กลมกลืน เหมาะกับสินค้า.. คุณมาถูกที่แล้ว ! บทความนี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจถึงการจับคู่สีมากขึ้น รวมถึงเข้าใจว่าทำไมการจับคู่สีให้เหมาะสมจึงมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในการซื้อหรือใช้บริการของลูกค้า อย่างที่คุณอาจจะคาดไม่ถึง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปดู เทคนิคการจับคู่สี กันเลยดีกว่า

มาดูกัน เทคนิคการจับคู่สี มีหลักการอย่างไร

หากได้ยินคำว่า เทคนิคการจับคู่สี เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่ทำงานเกี่ยวกับงานศิลปะและดีไซน์ คงสามารถนึกเทคนิคออกมาได้เยอะ แต่สำหรับในบทความนี้จะยกตัวอย่างเทคนิคที่เป็นกระแสนิยมที่คนส่วนใหญ่ได้ใช้กันทั่วโลก ที่จะต้องปูพื้นฐานให้แน่นก่อน จำเป็นจะต้องรู้จัก วงล้อสี (Color Wheel) เป็นแผนภาพหรือเครื่องมือที่ใช้ในการสามารถจัดเรียงและแสดงสีทั้งหมด โดยจะสามารถแบ่งได้เป็น 3 Layer คือ

  • สีหลัก (Primary color) หรือแม่สี สีแดง, สีเหลือง และสีน้ำเงิน
  • สีรอง (Secondary color) เป็นสีที่เกิดจากการผสมกันระหว่างสีหลัก สีส้ม, สีเขียว และสีม่วง
  • สีตติยภูมิ (Tertiary color) เป็นสีที่เกิดจากการผสมกันระหว่างสีหลักและสีรอง ส้มเหลือง, ส้มแดง, เขียวเหลือง, เขียวน้ำเงิน, ม่วงแดง และม่วงน้ำเงิน
เทคนิคการจับคู่สี
Image by master1305 on Freepik

นอกจากสีในแต่ละ Layrer ที่คุณได้รู้จักแล้วด้านบน จริง ๆ เพียงแค่นี้ก็ว้าวแล้วสำหรับการนำไอเดียไปออกแบบ แต่หากคุณได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า “โทนสี” อีกซักหน่อย จะทำให้คุณออกแบบงานได้ตรงกับคอนเซ็ปงานและเล่นกับความรู้สึกที่อยากจะสื่อผ่านงานออกแบบของคุณได้มากยิ่งขึ้น ! ซึ่ง โทนสี สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ตามหลายคำจำกัดความ แต่ในบทความนี้จะขอยกโทนสีออกเป็น 2 ประเภท โดยแบ่งได้เป็นสีโทนเย็นและสีโทนร้อน ถ้าหากเราลากเส้นกึ่งกลางตัดตรงกลางระหว่างวงล้อสี จะสามารถแบ่งสีโทนร้อนและโทนเย็นออกจากกันได้ทันที 

  • สีโทนเย็น เป็นโทนสีที่ให้ความรู้สึกสงบ น่าค้นหา ความสันโดษ
  • สีโทนร้อน เป็นโทนสีที่ให้ความรู้สึกมีพลัง อบอุ่น โดดเด่น สะดุดตา

แค่สองโทนก็ทำให้คุณออกแบบงานในระดับพื้นฐานถึงระดับปานกลางแล้วแหละ เช่น ถ้าคุณมีร้านชาบูหมาล่า และคุณให้คอนเซ็ปสินค้าคือเผ็ดซ่าชาลิ้น ดังนั้น ถ้าคุณจะออกแบบลายเสื้อสกรีนของพนักงานร้าน คุณเลือกที่จะออกแบบไปใน โทนสีไหน ??? คุณรู้คำตอบอยู่แล้วแหละ ! เริ่มแบ่งเส้นตัดที่วงล้อสีได้เลย !!! และถ้าคุณจะใช้วิธีสกรีนลวดลายเสื้อผ่านเทคนิคซับลิเมชัน ก็อย่าลืมเตรียม กระดาษรองรีด กระดาษซับลิเมชัน และ หมึกซับลิเมชัน ให้พร้อม..

รวมเด็ด เทคนิคการจับคู่สี ที่ใช้ได้ตลอดกาล

เมื่อได้ทำความเข้าใจกับวงล้อสีแล้ว ต่อไปเป็นการทำความเข้าใจกับเทคนิคการจับคู่สี ซึ่งมีอยู่หลากหลายเทคนิค ซึ่งในแต่ละงานก็จะมีการเลือกใช้เทคนิคที่แตกต่างกัน โดยตัวอย่างเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลายจะสามารถแบ่งได้เป็น

1. เทคนิคเลือกคู่สีตรงข้าม (Complementary color scheme)

เทคนิคการจับคู่สี แรกคือการเลือกสีที่อยู่ตรงข้ามกันในวงล้อสีเพื่อให้สีตัดกัน เช่น สีเขียวกับสีแดง หรือ สีน้ำเงินกับสีส้ม เป็นต้น ซึ่งสีประเภทดังกล่าวจะเป็นสีที่เมื่อตัดกันแล้วจะมีความโดดเด่นและสดใส

2. เทคนิคเลือกคู่สีที่ใกล้เคียงกัน (Analogous color scheme)

คือการเลือกคู่สีที่อยู่เฉดหรือโทนสีใกล้เคียงกันหรือติดกันในวงล้อสี เช่น สีฟ้า, สีเขียว และสีน้ำเงินอมเขียว เป็นต้น โดยวิธีเลือกคู่สีที่ใกล้เคียงกันมักใช้เพื่อให้สร้างความรู้สึกกลมกลืน สามัคคี 

3. เทคนิคเลือกคู่สีแบบสมดุล (Triadic color scheme)

คือการเลือกสีจากในวงล้อโดยให้เลือก 3 จุดตรงข้ามกัน (ตัดจุดกันให้เป็นสามเหลี่ยม) เช่น การเลือกสีแดง, เหลือง และน้ำเงิน เป็นต้น วิธีดังกล่าวจะสร้างความสมดุลกันอย่างลงตัว และถือเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่เมื่อใช้แล้วจะทำให้น่าดึงดูด

4. เทคนิคเลือกคู่สีแบบเดียว (Monochromatic color scheme)

คือการเลือกสีที่อยู่ในโทนเดียวกันนำมาผสมกัน โดยหลักการนี้มีคนเข้าใจผิดอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากชื่อของหลักการอาจจะทำให้สับสน โดยเสน่ห์ของการเลือกใช้โทนสีเดียวคือการเลือกสีเดียวกันแต่ปรับแต่ง Saturation เพื่อเพิ่มความมีชีวิตชีวา และทำให้งานออกมาดูหรูหรา

เทคนิคการจับคู่สี
Image by Freepik

แรวม Website ที่ช่วยในการออกแบบจับคู่สี

หากใครที่ไม่มีเวลาว่างพอหรืออาจต้องการตัวช่วยและทางลัดในการจับคู่สีให้เข้ากัน ตอนนี้ได้มีหลาย Website ที่ได้ทำการพัฒนาจนสร้างเครื่องมือที่ช่วยให้ทุคนสามารถเข้าไปใช้งาน ซึ่งเครื่องมือที่อยู่ในเว็บไซต์เหล่านี้จะช่วยจับคู่สีให้ตามที่ต้องการ มาดูกันว่า เทคนิคการจับคู่สี ของเว็บไหนมีความน่าสนใจบ้าง

Canva 

https://www.canva.com/colors/color-wheel/

ทุกคนคงจะรู้จัก Canva.com กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นเว็บไซต์ที่มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายและเป็นเว็บไซต์อันดับต้น ๆ เมื่อพูดถึงการตกแต่งรูปภาพ หรือ วีดีโอ ฯลฯ แต่ทุกคนอาจไม่เคยทราบมาก่อนว่า Canva มี Feature ที่สามารถจับคู่สีได้เช่นกัน โดยใน Feature นี้ก็จะให้เราเลือกว่า เราต้องการจับคู่สีไปตามหลักการใด เช่น หลักการแบบ Analogous scheme (หลักการเลือกคู่สีที่ใกล้เคียงกัน) เป็นต้น

โดยรวมถือเป็นเว็บไซต์ที่ใช้งานได้ง่ายและที่สำคัญคือฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ 

Paletton

https://paletton.com/

เป็นเว็บไซต์ที่สร้างคู่มือที่ทำให้ทุกคนสามารถเลือกจับคู่สีได้ตามใจชอบ ซึ่งสามารถเลือกได้ด้วยว่าต้องการให้สีจับคู่เป็นไปตามหลักการใด โดยมีหลักการให้เลือกหลายรูปแบบ เช่น หลักการแบบเลือกคู่สีที่ใกล้เคียงกัน (Analogous color scheme) หรือหลักการเลือกสีแบบสมดุล (Triadic color scheme) เป็นต้น และเมื่อได้เลือกสีที่ถูกใจแล้ว ก็สามารถนำโค้ดสีที่ขึ้นโชว์ไปใช้ในงานได้  

Coolers

https://coolors.co/

เป็นเว็บไซต์ที่ช่วยให้ทุกคนสามารถจับคู่สีได้อย่างมีสีสัน โดยสำหรับเว็บไซต์นี้จะสามารถเลือกได้ว่าต้องการสร้างหรือจับคู่สีขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเอง แบบไม่ซ้ำใคร หรือถ้าหากใครที่ต้องการสีที่ทางเว็บไซต์จัดไว้ให้อยู่แล้ว ก็สามารถเลือกสรรได้ตามที่ต้องการ

เทคนิคการจับคู่สี
Image by senivpetro on Freepik

Key Takeaway

เทคนิคการจับคู่สี ถือว่ามีหลากหลายเป็นอย่างมาก โดยการเลือกใช้เทคนิคต่าง ๆ ก็ขึ้นอยู่กับประเภทของตัวผลิตภัณฑ์หรืองานบริการนั้น ๆ ว่าต้องการให้งานดีไซน์ดังกล่าวออกมาในรูปแบบใด ซึ่งหากคุณต้องการตัวช่วยในการทำงานหรือเลือกคู่สี ในยุคสมัยปัจจุบันที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูง ทำให้มีหลากหลายเว็บไซต์ที่เข้ามาแข่งขันกันจนทำให้เกิดเว็บไซต์ที่สร้างคู่มือในการช่วยจับคู่สีตามตัวอย่างข้างต้น ซึ่งจะทำให้ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ออกแบบได้มาก

Cover Image : Image by Freepik

สาระทั่วไป
13/12/2023

วิธีเลือกหมึกซับลิเมชั่น ไขข้อข้องใจเลือกหมึกแบบไหน เหมาะกับงานคุณ ?

หมึกซับลิเมชั่น (Sublimation Ink) เป็นหมึกชนิดพิเศษที่ใช้ในการพิมพ์ภาพลงบนวัสดุต่าง ๆ เช่น เสื้อผ้า แก้ว กระเบื้อง หรือวัสดุเคลือบอื่น ๆ โดยใช้ความร้อนในการถ่ายโอนหมึกจาก กระดาษซับลิเมชั่น ไปยังวัสดุ ทำให้ภาพที่ได้มีความคมชัด สวยงาม และทนทาน เหมาะสำหรับงานพิมพ์ที่ต้องการคุณภาพสูง นวัตกรรมสุดล้ำนี้ช่วยให้ภาพถ่ายและลวดลายต่าง ๆ ติดทนนาน แต่ก่อนจะพิมพ์ผลงานให้สวยปัง คุณต้องมี วิธีเลือกหมึกซับลิเมชั่น ให้เหมาะกับงานก่อน วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจ พร้อมแนะนำหมึกแต่ละประเภท ให้คุณได้มีความรู้และเลือกได้อย่างมั่นใจ

วิธีเลือกหมึกซับลิเมชั่น

ประเภทของหมึกซับลิเมชั่น

หมึกซับลิเมชั่นมี 2 ประเภทหลักๆ ที่แตกต่างกันตามคุณสมบัติและเหมาะกับงานเฉพาะด้าน ดังนี้

1. หมึกซับลิเมชั่นชนิดน้ำ (Dye-Sublimation Ink)

  • ข้อดี: ราคาถูก ใช้งานง่าย ให้สีสดใส
  • ข้อเสีย: ทนทานน้อยกว่าหมึกชนิดแข็ง ภาพอาจซีดจางเมื่อโดนแสงแดด
  • เหมาะสำหรับ: งานพิมพ์ที่ต้องการสีสันสดใส เช่น เสื้อผ้าแฟชั่น กระเป๋าพิมพ์ลาย ของใช้ชั่วคราว

2. หมึกซับลิเมชั่นชนิดแข็ง (Pigment-Sublimation Ink)

  • ข้อดี: ทนทานต่อแสงและการซักล้าง ภาพคมชัด สวยงามยาวนาน
  • ข้อเสีย: ราคาสูงกว่าหมึกชนิดน้ำ
  • เหมาะสำหรับ: งานพิมพ์ที่ต้องการความทนทาน เช่น เสื้อยูนิฟอร์ม ปลอกหมอน ผ้าม่าน งานพิมพ์ที่ต้องโดนแดดเป็นเวลานาน

วิธีเลือกหมึกซับลิเมชั่น ให้เหมาะสม

นอกจากประเภท ยังต้องดู “คุณสมบัติ” ด้วย

  • ความสามารถในการยึดเกาะ: หมึกบางชนิดเหมาะกับวัสดุเฉพาะ เช่น หมึกสำหรับพิมพ์บนแก้วจะต่างจากหมึกสำหรับพิมพ์บนผ้า
  • ความเร็วในการแห้ง: หมึกบางชนิดแห้งเร็ว เหมาะสำหรับการพิมพ์จำนวนมาก
  • ความเป็นกรด-ด่าง: หมึกบางชนิดอาจทำลายวัสดุที่พิมพ์ ควรเลือกหมึกที่เหมาะสมกับวัสดุนั้นๆ

เกณฑ์ในการเลือกหมึกซับลิเมชั่น

  • ความต้องการ: คุณต้องการงานพิมพ์แบบใด สีสันสดใส? ทนทาน?
  • วัสดุที่พิมพ์: คุณจะพิมพ์บนวัสดุอะไร?
  • งบประมาณ: คุณมีงบประมาณเท่าไหร่?
  • ปริมาณงาน: คุณจะพิมพ์จำนวนมากแค่ไหน?
  • เลือกประเภทของหมึก ให้เหมาะกับความต้องการของคุณ
  • เลือกยี่ห้อของหมึก ที่มีชื่อเสียง
  • เปรียบเทียบราคา ของหมึกต่างๆ
  • อ่านรีวิว ของผู้ใช้ก่อนตัดสินใจซื้อ

ตัวอย่างการเลือกหมึกตามงาน

  • พิมพ์เสื้อแฟชั่น: เลือกหมึกซับลิเมชั่นชนิดน้ำ ราคาถูก สีสันสดใส
  • พิมพ์ปลอกหมอน: เลือกหมึกซับลิเมชั่นชนิดแข็ง ทนต่อการซักล้าง
  • พิมพ์แก้วน้ำ: เลือกหมึกซับลิเมชั่นสำหรับแก้วโดยเฉพาะ
  • พิมพ์ผ้าม่าน: เลือกหมึกซับลิเมชั่นชนิดแข็ง ทนต่อแสงแดด

ข้อสี-ข้อเสียของหมึกซับลิเมชั่น

ข้อดีของหมึกซับลิเมชั่น

  • ภาพที่ได้มีความคมชัด สวยงาม และทนทาน เหมาะสำหรับงานพิมพ์ที่ต้องการคุณภาพสูง
  • สามารถพิมพ์ลงบนวัสดุต่างๆ เช่น เสื้อผ้า แก้ว กระเบื้อง และอื่นๆ
  • ใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้ความชำนาญมาก
  • มีราคาไม่แพง (โดยเฉพาะหมึกชนิดน้ำ)

ข้อเสียของหมึกซับลิเมชั่น

  • ต้องใช้เครื่องพิมพ์พิเศษ ที่รองรับการพิมพ์แบบซับลิเมชั่น
  • หมึกมีราคาค่อนข้างสูง (โดยเฉพาะหมึกชนิดแข็ง)
  • ภาพที่ได้อาจซีดจางลง เมื่อโดนแสงแดดเป็นเวลานาน
วิธีเลือกหมึกซับลิเมชั่น
Image by vecstock on Freepik

บทสรุป.. วิธีเลือกหมึกซับลิเมชั่น คุณได้อะไรจากบทความนี้

หมึกซับลิเมชั่นเป็นหมึกชนิดพิเศษที่เหมาะสำหรับงานพิมพ์ที่ต้องการคุณภาพสูง มีข้อดีหลายอย่าง เช่น ภาพที่ได้มีความคมชัด สวยงาม และทนทาน สามารถพิมพ์ลงบนวัสดุต่าง ๆ และใช้งานง่าย อย่างไรก็ตาม หมึกซับลิเมชั่นก็มีข้อเสียเช่นกัน เช่น ต้องใช้เครื่องพิมพ์พิเศษ หมึกมีราคาค่อนข้างสูง และภาพที่ได้อาจซีดจางลงเมื่อโดนแสงแดดเป็นเวลานาน ก่อนเลือกซื้อหมึกซับลิเมชั่น ควรพิจารณาความต้องการของคุณและเลือกประเภทของหมึกให้เหมาะสม

การศึกษา วิธีเลือกหมึกซับลิเมชั่น ให้เหมาะสมกับงานเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผลงานของคุณสวยงาม ทนทาน และคุ้มค่ากับงบประมาณ ก่อนเลือกซื้อ ควรศึกษาข้อมูลของหมึกแต่ละประเภท พิจารณาความต้องการของคุณ และอย่าลืมปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้คำแนะนำที่ถูกต้อง

Cover Image : Image by vecstock on Freepik

สาระทั่วไป, หมึกซับลิเมชั่น
05/11/2023

10 อันดับประเทศรักษ์โลก No.1 การผลิต สินค้ารีไซเคิล

การรีไซเคิล หรือกระบวนการการนำวัสดุรีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่นั้นเป็นหนึ่งในวิธีที่สำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อมและลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ โดยการรีไซเคิลช่วยลดปริมาณขยะ และลดความต้องการในการผลิตวัสดุใหม่ นี่คือหนึ่งในวิธีที่ส่งเสริมความยั่งยืนและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนมากขึ้น และการผลิต สินค้ารีไซเคิล ยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับเล็กไปถึงใหญ่

เหตุผลที่การรีไซเคิลสำคัญมากนี้เนื่องจากเมื่อเรานำวัสดุรีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่ เราสามารถลดการสร้างขยะที่จะก่อให้เกิดมลพิษสิ่งแวดล้อมและลดความต้องการในการทำให้วัสดุใหม่ นอกจากนี้ การรีไซเคิลยังช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ไม้และเหล็ก ที่ใช้ในการผลิตสินค้าใหม่

สินค้ารีไซเคิล
Image by Freepik

ประเทศไหนผลิต สินค้ารีไซเคิล เก่งที่สุด 10 อันดับ

อุตสาหกรรมการรีไซเคิลขณะนี้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และประเทศหลายประเทศริเริ่มสนับสนุนและส่งเสริมการผลิตสินค้ารีไซเคิลที่มีคุณภาพ เพื่อเสริมสร้างอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนและมั่งคั่ง ประเทศไหนบ้างที่นำด้านนี้อย่างดี มาดูกันในรายการที่ได้รับการจัดอันดับสูงสุดของประเทศที่ผลิตสินค้ารีไซเคิลในปี 2022-2023

1. สวีเดน (Sweden)

สวีเดนเป็นหนึ่งในประเทศที่นำเสนอการผลิตสินค้ารีไซเคิลอย่างสำเร็จ พวกเขามุ่งเน้นการลดการสร้างขยะและการใช้วัสดุรีไซเคิลในการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ มีนวัตกรรมในการแปรรูปขยะเป็นอันดับหนึ่ง และใช้ทรัพยากรน้อยกว่าใคร ทำให้สวีเดนมีสินค้ารีไซเคิลที่มีคุณภาพสูง และสามารถนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland)

สวิตเซอร์แลนด์มีการจัดการขยะและการรีไซเคิลที่มีระเบียบวินัยและมีอัตราการรีไซเคิลที่สูง รัฐบาลและประชาชนมีบทบาทสำคัญในการแยกขยะและรีไซเคิล

3. จีน (China)

จีนเป็นประเทศที่ผลิตสินค้ารีไซเคิลมากมาย มีการใช้เทคโนโลยีรีไซเคิลที่ทันสมัยและมีวัสดุรีไซเคิลที่มีคุณภาพสูงในการผลิตสินค้ารีไซเคิล

4. เยอรมนี (Germany)

เยอรมนีเป็นประเทศที่มีทางเรียบร้อยในการแยกขยะและโปรแกรมรีไซเคิลของพวกเขา พวกเขามีกฎระเบียบที่เข้มงวดในการจัดกาลาบขยะ ส่งเสริมให้ประชาชนแยกขยะเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ เช่น กระดาษ, ขวดแก้ว, พลาสติก, และขยะอินทรีย์ โปรแกรมรีไซเคิลของเยอรมนีมักมีอัตราการรีไซเคิลที่สูง

5. สหรัฐอเมริกา (United States)

สหรัฐอเมริกามีธุรกิจรีไซเคิลที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการผลิตสินค้ารีไซเคิลที่หลากหลายและมีนวัตกรรม

6. เนเธอร์แลนด์ (Netherlands)

เนเธอร์แลนด์มีการสนับสนุนในการใช้วัสดุรีไซเคิลในการผลิตสินค้ารีไซเคิล และมีการผลิตสินค้ารีไซเคิลที่สามารถนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้

7. นิวซีแลนด์ (New Zealand)

นิวซีแลนด์มีภาครัฐที่สนับสนุนการผลิตสินค้ารีไซเคิลและเติบโตเป็นอุตสาหกรรมรีไซเคิลที่สำเร็จ

8. เบลเยียม (Belgium)

เบลเยียมมีการสนับสนุนจากภาครัฐในการใช้วัสดุรีไซเคิล และมีธุรกิจรีไซเคิลที่กำลังเจริญรุ่งเรือง

9. ออสเตรีย (Austria)

ออสเตรียมีระบบแยกขยะที่ครอบครองและเขาลงทุนในสถานที่เปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน พวกเขามีอัตราการรีไซเคิลที่สูง

10. ลิทัวเนีย (Lithuania)

ลิทัวเนียเป็นตัวอย่างของการสร้างสถานที่จัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ การแยกขยะและการรีไซเคิลมีบทบาทสำคัญในลดปริมาณขยะ นอกจากนี้ พวกเขายังเสริมสร้างการใช้พลังงานรีไซเคิลและสินค้ารีไซเคิล

สินค้ารีไซเคิล
Image by Freepik

สร้างโอกาสทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ

การรีไซเคิลเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยลดปริมาณขยะ และสร้างโอกาสทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ ประเทศหลายแห่งมีระบบการจัดการขยะและการรีไซเคิลที่ดี และเป็นตัวอย่างในการสนับสนุนการรีไซเคิล ประเทศที่ดำเนินการรีไซเคิลอย่างเรียบร้อยมักมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง และสร้างโอกาสในอุตสาหกรรมรีไซเคิลและสินค้ารีไซเคิล

การรีไซเคิลเป็นเส้นทางที่ยั่งยืนและสามารถทำได้ในทุกประเทศ ทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการนี้โดยการแยกขยะอย่างถูกต้องและสนับสนุนการใช้วัสดุรีไซเคิล หลักการนี้ก็สามารถนำมาใช้กับการรีไซเคิลวัสดุสิ้นเปลืองหรือขยะที่เกิดจากกระบวนการซับลิเมชั่นอย่าง กระดาษรองรีด กระดาษซับลิเมชั่น สำหรับธุรกิจสกรีนเสื้อได้เช่นกัน

เพื่อโลกที่ยั่งยืน

จาก 10 อันดับที่เรานำเสนอ เกือบทั้งหมดเรียกได้ว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และสิ่งเหล่านี้ที่พวกเขาให้ความสำคัญ ล้วนเน้นถึงความสำคัญของการรีไซเคิลในการสร้างโลกที่ยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเรียกร้องให้ทุกคนร่วมมือกันในกระบวนการนี้เพื่ออนาคตที่มีคุณภาพมากขึ้นสำหรับรุ่นปัจจุบันและรุ่นถัดไป การรีไซเคิลเป็นเรื่องสำคัญและไม่มีที่สิ้นสุด และทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการสนับสนุนและส่งเสริมวัสดุรีไซเคิลและการรีไซเคิลสำหรับอนาคตที่ยั่งยืนและยั่งยืนมากขึ้น!

Cover Image : Image by Freepik

สาระทั่วไป
08/10/2023

EP. 3 เทคนิคไหนเหมาะกับ ธุรกิจสกรีนเสื้อ ของคุณ ? สกรีนปริ้น vs ซับลิเมชั่น vs ดิจิตอลปริ้นท์

มาถึงตอนสุดท้ายของซีรีส์บทความ เทคนิคไหนเหมาะกับธุรกิจสกรีนเสื้อของคุณ ? วันนี้เราจะนำเสนอตอนที่ 3 กับเทคนิคยอดนิยมที่มีคอมมูนิตี้เผยแพร่เทคนิคมากมายในแวดวงงานสกรีนอีกวิธีนึงนั่นคือ การสกรีนปริ้น (Screen Printing) ส่วนวิธีอื่น ๆ นอกจาก สกรีนปริ้น และยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เราได้ลงบทความไว้แล้ว.. ใครพลาดไป กดเข้า link นี้ไปอ่านกันได้ EP.1 เทคนิคซับลิเมชั่น EP.2 เทคนิคดิจิตอลปริ้นท์

และข้อมูลต่อไปนี้คุณจะได้รับรู้ถึงวิธีการสกรีนเสื้อแบบ การ สกรีนปริ้น (Screen Printing) วิธีที่เรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพและเป็นวิธีที่แม่นยำ ได้งานเนี๊ยบสุด ๆ วิธีนึง อ่านจบแล้วคุณอาจตกผลึกได้ว่าวิธีแบบไหนเหมาะสมกับแนวทางธุรกิจสกรีนเสื้อของคุณ และวิธีใน EP.3 นี้มีเทคนิควิธีและวัสดุที่เกี่ยวข้องอะไรบ้าง รวมไปถึง ข้อดี- ข้อเสียของวิธีนี้ เอาล่ะ ไปเริ่มกันเลย..

การ สกรีนปริ้น คืออะไร (Screen Printing)

การพิมพ์แบบ สกรีนปริ้น (Screen Printing) เป็นเทคนิคการพิมพ์ที่ใช้เทคโนโลยีของการสกรีนในกระบวนการพิมพ์ เสื้อผ้า, ไม้กระดาน, หรือวัตถุศิลปะที่มีช่องว่างบางส่วนซึ่งผ่านบล๊อคสกรีนได้, โดยที่ช่องว่างนี้เป็นส่วนที่จะถูกพิมพ์ลายหรือภาพ กระบวนการนี้สามารถใช้กับหลายวัตถุและวัสดุเช่น เสื้อผ้า, กระดาน, กระดาษ, และอื่น ๆ

สกรีนปริ้น
Credit : https://www.freepik.com/free-photo/person-holding-brown-wooden-board_9898359.htm

ขั้นตอนวิธีการ

การพิมพ์หน้าจอประกอบด้วยขั้นตอนพื้นฐานดังนี้:

1. เตรียมลายหรือดีไซน์: ในขั้นตอนแรก คุณจะต้องสร้างหรือเตรียมลายหรือดีไซน์ที่คุณต้องการพิมพ์บนผ้าหรือวัตถุ ลายหรือดีไซน์นี้จะถูกถ่ายโอนไปยังสกรีนในขั้นตอนถัดไป

2. สร้างบล๊อคสกรีน: หลังจากมีลายหรือดีไซน์พร้อมแล้ว คุณจะต้องสร้างบล๊อคสกรีนที่ใช้ในกระบวนการพิมพ์ นี้เป็นกระบวนการสำคัญที่ต้องใช้เส้นใยหรือที่ตามพิมพ์ เครื่องจักร หรือแสตนเลสเซ็นสตีล (stencil) เพื่อเตรียมสกรีนสำหรับการพิมพ์

3. ตั้งค่าเครื่องพิมพ์: หลังจากมีหน้าจอพร้อมแล้ว คุณจะต้องตั้งค่าเครื่องพิมพ์หรือเครื่องจักรพิมพ์เพื่อให้ถูกต้องตามขนาดและลักษณะของลายหรือดีไซน์

4. การพิมพ์: ในขั้นตอนนี้ คุณจะทาหน้าจอบนผิววัตถุที่ต้องการพิมพ์ลายด้วยหมึก หมึกจะถูกกดผ่านหน้าจอลงบนวัตถุในส่วนที่มีช่องว่างตามลายหรือดีไซน์

5. การ Drying: หลังจากการพิมพ์เสร็จสิ้น คุณจะต้องแห้งลายหรือดีไซน์ด้วยความร้อนหรือลมอบบ้าน การแห้งจะทำให้หมึกยึดอยู่กับผ้าหรือวัตถุ

6. การตรวจสอบ: หลังจากการพิมพ์และการแห้ง คุณควรตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่พิมพ์เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของลายหรือดีไซน์และคุณภาพทั่วไป

การสกรีนปริ้นเป็นวิธีที่แม่นยำและสามารถใช้กับวัตถุหลายประเภท อย่างไรก็ตามการเตรียมบล๊อคสกรีนเป็นขั้นตอนที่สำคัญ และควรทำอย่างรอบคอบเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การสกรีนปริ้นเป็นกระบวนการที่ให้ความคิดสร้างสรรค์และสามารถสร้างผลิตภัณฑ์พิมพ์ที่มีคุณภาพสูงได้ในลายหรือดีไซน์ตามที่คุณต้องการ

วิธีนี้ต้องเตรียม วัสดุ และ อุปกรณ์อะไรบ้าง

การสกรีนปริ้น เริ่มต้นด้วยการเตรียมวัสดุและอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อกระบวนการ นี่คือรายการวัสดุและอุปกรณ์ที่คุณต้องการ

วัสดุและอุปกรณ์หลัก

  1. บล๊อคสกรีน เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการสกรีนปริ้น คุณต้องมีบล๊อคสกรีนที่มีเส้นใยหรือแสตนเลสเซ็นสตีล (stencil) ให้มีลายหรือดีไซน์ที่คุณต้องการพิมพ์
  2. ระบบเฟรมบล๊อคสกรีน: ระบบเฟรมบล๊อคสกรีนใช้สำหรับยึดหน้าจอในตำแหน่งที่เหมาะสมและคงทนตลอดกระบวนการ
  3. หมึก: หมึกสำหรับการสกรีนปริ้นต้องเลือกตามประเภทของวัตถุที่คุณจะพิมพ์บน มีหมึกน้ำ, หมึกพลาสติส, หมึกน้ำมัน, และหมึกยิปซีเป็นต้น โดยแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและสีที่แตกต่างกัน.
  4. เครื่องพิมพ์บล๊อคสกรีน: เครื่องพิมพ์บล๊อคสกรีนมีหลากหลายรูปแบบ ต้องเลือกเครื่องที่เหมาะสมกับลายหรือดีไซน์ของคุณและวัตถุที่คุณพิมพ์.
  5. มีดหรือใยสี : มีดหรือใยสีใช้สำหรับดึงหมึกผ่านบล๊อคสกรีนและลงบนวัตถุ คุณต้องเลือกขนาดและความยาวของมีดที่เหมาะกับงานของคุณ
สกรีนปริ้น
Image by Freepik

Key takeaways สรุปข้อดี ข้อเสีย

ข้อดีของการสกรีนปริ้น

  1. ความหลากหลายในวัสดุ: การสกรีนปริ้นสามารถทำได้บนหลายวัสดุ เช่น ผ้า, กระดาน, กระดาษ, พลาสติก, และอื่นๆ ทำให้มีความหลากหลายในการใช้งาน
  2. ความแม่นยำสูง: การสกรีนปริ้นให้ความแม่นยำสูง ลายหรือดีไซน์ออกมาตรงตามที่คาดหวัง
  3. ความคงทน: ลายหรือดีไซน์ที่พิมพ์ด้วยการสกรีนปริ้นมีความคงทนและคงอยู่นานในการใช้งานประจำ
  4. ความสามารถในการพิมพ์สีสัน: การสกรีนปริ้นสามารถพิมพ์ลายหรือดีไซน์ที่มีสีสันหลากหลายและรายละเอียดสูงได้
  5. การผลิตจำนวนมาก: การสกรีนปริ้นเหมาะสำหรับการผลิตจำนวนมากของผลิตภัณฑ์เช่น เสื้อผ้าหรือของพิมพ์โปรโมชั่น

ข้อเสียของการสกรีนปริ้น

  1. ความซับซ้อนในการเตรียมบล๊อคสกรีน: กระบวนการเตรียมซับซ้อนและต้องใช้เวลานานเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการอื่น ๆ
  2. จำกัดในการพิมพ์รายละเอียดสูง: การสกรีนปริ้นไม่สามารถพิมพ์รายละเอียดสูงเท่ากับวิธีการอื่น เช่น การพิมพ์ดิจิทัล
  3. ค่าใช้จ่ายสูงกับการเปลี่ยนลายหรือดีไซน์: หากคุณต้องการเปลี่ยนลายหรือดีไซน์, ค่าใช้จ่ายในการสร้างบล๊อคสกรีนใหม่อาจมีความสูง.
  4. ไม่เหมาะสำหรับรายการที่มีจำนวนน้อย: การสกรีนปริ้นมักไม่คุ้มค่าสำหรับการผลิตจำนวนน้อยของผลิตภัณฑ์ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเตรียมบล๊อคสกรีนสูง
  5. จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญ: การสกรีนปริ้นต้องการความเชี่ยวชาญในการเตรียมบล๊อคสกรีน การพิมพ์ และการดูแลรักษาอุปกรณ์ ซึ่งอาจทำให้เป็นที่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์

การสกรีนปริ้นมีข้อดีมาก ๆ เรื่องความคงทนและความแม่นยำ แต่ก็มีความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูงในการเตรียมบล๊อคสกรีน ดังนั้น ควรพิจารณาวัตถุประสงค์และข้อกำหนดของโปรเจ็กต์ของคุณเพื่อตัดสินใจว่าการสกรีนปริ้นเหมาะสมหรือไม่สำหรับคุณ

Credit Cover image : Image by rawpixel.com on Freepik

สาระทั่วไป
20/08/2023

EP. 2 เทคนิคไหนเหมาะกับ ธุรกิจสกรีนเสื้อ ของคุณ ? สกรีนปริ้น vs ซับลิเมชั่น vs ดิจิตอลปริ้นท์

ตอนที่ 2 ของ ซีรีส์บทความ เทคนิคไหนเหมาะกับธุรกิจสกรีนเสื้อของคุณ ? เราจะนำเสนอ 3 เทคนิคยอดนิยมที่มีคอมมูนิตี้เผยแพร่เทคนิคมากมายในแวดวงงานสกรีนคือ ประกอบไปด้วย การสกรีนปริ้น (Screen Printing) การทำซับลิเมชั่น (Sublimation) และ offset และเทคนิค ดิจิตอลปริ้นท์ (Digital Printing) สำหรับวันนี้ EP. 2 ถึงคิวที่เราจะมาต่อกันที่เทคนิคอื่น ๆ ที่เป็นทางเลือกอื่นที่น่าสนใจอย่าง ดิจิตอลปริ้นท์ (Digital Printing) อย่าง DTF และ DTG สำหรับในกรณีที่ผลิตภัณฑ์ของคุณ อาจจะไม่ได้เหมาะกับเทคนิคซับลิเมชั่นที่เรานำเสนอไปแล้วใน ตอนที่ 1 หาดูได้เลยที่..

และข้อมูลต่อไปนี้คุณจะได้รับรู้ถึงวิธีการสกรีนเสื้อแบบ ดิจิตอลปริ้นท์ (Digital Printing) ที่ทันสมัย และเรียกได้ว่าตามเทรนด์ในยุคนี้ เพราะไม่ยุ่งยาก และยังได้งานคุณภาพ มีด้วยกันสองแบบที่นิยมในตอนนี้คือ DTF และ DTG ทั้งสองแบบหรือแบบไหนเหมาะสมกับแนวทางธุรกิจสกรีนเสื้อของคุณ แต่ละแบบคืออะไร มีเทคนิควิธีและวัสดุที่เกี่ยวข้องอะไรบ้าง เช่น เครื่องพิมพ์ กระดาษรองรีด เครื่องรีดร้อน หรืออื่น ๆ รวมไปถึง ข้อดี- ข้อเสียของวิธีนี้ เอาล่ะ ไปเริ่มกันเลย..

การพิมพ์เสื้อยืดด้วยเทคโนโลยี DTF และ DTG: วิธีง่ายๆ สำหรับผู้สนใจ

ถ้าคุณเคยสงสัยเกี่ยวกับการพิมพ์ลายหรือดีไซน์สวยงามลงบนเสื้อยืด และอยากทราบว่าเทคโนโลยี DTF และ DTG นั้นคืออะไร พร้อมวิธีการใช้งาน คุณมาถูกที่แล้ว! เรามาเรียนรู้เกี่ยวกับทั้งสองเทคโนโลยีนี้กันเถอะ!

Digital Printing
Image by Freepik

ความหมายของ DTF Printing และ DTG Printing

DTF Printing (Direct-to-Film) หมายถึงกระบวนการพิมพ์ลายหรือดีไซน์โดยการนำหมึกพิมพ์พิเศษที่มีลักษณะเหมือนฟิล์มมาพ่นลงบนฟิล์มพิมพ์ แล้วนำฟิล์มนั้นมาแปะหรือเกาะลงบนผ้า เมื่อนำไปอบด้วยเครื่องอบควบคุมอุณหภูมิ หมึกพิมพ์จะถูกยับยั้งบนผ้าเสื้อ และเกาะอยู่ที่นั้น

DTG Printing (Direct-to-Garment) เป็นกระบวนการพิมพ์ที่ใช้เครื่องพิมพ์พิเศษที่สามารถพิมพ์ลายหรือดีไซน์ลงบนผ้าเสื้อโดยตรง คล้ายกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์สี ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและมีความละเอียดสูง

กระบวนการ DTF Printing

  1. เตรียมไฟล์ดีไซน์: ใช้โปรแกรมกราฟิกในการสร้างดีไซน์หรือลายที่ต้องการพิมพ์ แน่นอนว่าขนาดและความละเอียดของไฟล์ต้องเหมาะสมกับเสื้อที่คุณจะพิมพ์
  2. พิมพ์ลายบนฟิล์ม: ใช้เครื่องพิมพ์พิเศษพิมพ์ลายลงบนฟิล์มพิมพ์ ที่มีหมึกพิมพ์ที่เหมาะสม
  3. การทำความร้อนและการเกาะ: นำฟิล์มที่พิมพ์แล้วมาเกาะหรือแปะลงบนเสื้อ จากนั้นนำไปอบด้วยเครื่องอบที่ควบคุมอุณหภูมิและเวลา ทำให้หมึกพิมพ์เกาะที่ผ้าเสื้อ
  4. การเตรียมใช้งาน: เมื่อหมึกพิมพ์เกาะที่ผ้าเสื้อแล้ว คุณสามารถสวมใส่เสื้อได้ทันที

กระบวนการ DTG Printing

  1. เตรียมไฟล์ดีไซน์: เช่นเดียวกับ DTF Printing ใช้โปรแกรมกราฟิกในการสร้างดีไซน์หรือลายที่ต้องการพิมพ์
  2. พิมพ์ลายบนเสื้อ: ใช้เครื่องพิมพ์ DTG ในการพิมพ์ลายลงบนผ้าเสื้อโดยตรง มักมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้ลายหรือดีไซน์เกิดความคมชัดและสวยงาม
  3. การทำความร้อนและการแห้ง: นำผ้าเสื้อที่พิมพ์ลายเสร็จแล้วนำไปอบด้วยเครื่องอบเพื่อให้หมึกพิมพ์แห้งและยับยั้งอยู่ที่ผ้าเสื้อ
  4. การเตรียมใช้งาน: เมื่อผ้าเสื้อแห้งแล้ว คุณสามารถสวมใส่ได้ทันที

DTF vs DTG

ไม่ว่าจะเลือก DTF Printing หรือ DTG Printing ทั้งสองวิธีนี้เพื่อพิมพ์ลายหรือดีไซน์บนเสื้อยืด คุณจะได้ผลิตภัณฑ์ที่สวยงามและสมบูรณ์แบบตามที่คุณต้องการ อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตหรือคู่มือการใช้งานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

Digital Printing
Image by usertrmk on Freepik

วัสดุที่ต้องใช้สำหรับการพิมพ์ด้วยเทคโนโลยี DTF:

  1. เครื่องพิมพ์ DTF: เครื่องพิมพ์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในกระบวนการ DTF printing โดยสามารถรับมือกับหมึกและฟิล์มที่ใช้ในกระบวนการได้
  2. หมึก DTF: หมึก DTF คุณภาพสูงที่เข้ากันได้กับเครื่องพิมพ์ DTF ของคุณ เป็นหมึกที่ออกสู่ผ้าได้ในกระบวนการเครื่องอบควบคุมอุณหภูมิ
  3. ฟิล์ม DTF: ฟิล์ม DTF ที่เฉพาะเจาะจงมาใช้เป็นตัวพกพาหมึก หมึกจะถูกพิมพ์ลงบนฟิล์มและฟิล์มจะถูกแปะลงบนผ้าด้วยเครื่องอบควบคุมอุณหภูมิ
  4. สารก่อนพิมพ์ (Pre-Treatment Solution): สารก่อนพิมพ์ที่ใช้ทาลงผ้าก่อนการพิมพ์เพื่อเพิ่มความยึดเหนียวและความสดใสให้กับหมึก ช่วยให้หมึกยึดเนื้อผ้าได้ดีมากขึ้น
  5. เครื่องอบควบคุมอุณหภูมิ (Heat Press Machine): เครื่องอบควบคุมอุณหภูมิที่ใช้ในกระบวนการแปะฟิล์ม DTF ลงบนผ้า สร้างความร้อนและแรงดันเพื่อให้หมึกยึดเนื้อผ้าได้เหมาะสม
  6. เทปกันรั้ว (Masking Tape): เทปกันรั้วที่ใช้เพื่อยึดฟิล์ม DTF ลงบนผ้าก่อนการอบ
  7. กระดาษปล่อย (Release Paper): กระดาษปล่อยที่วางไว้ระหว่างแผ่นรองความร้อนและฟิล์ม DTF เพื่อป้องกันไม่ให้หมึกยึดกับแผ่นรองความร้อน
  8. แปรงหรือกันรอย (Brush or Roller): แปรงหรือกันรอยที่ใช้ทาสารก่อนพิมพ์ลงผ้าอย่างสม่ำเสมอ
  9. เครื่องอบหรือเครื่องอบควบคุมอุณหภูมิ (Curing Oven or Heat Press): หลังจากที่ฟิล์มถูกแปะลงบนผ้าแล้ว คุณอาจจะต้องใช้เครื่องอบหรือเครื่องอบควบคุมอุณหภูมิเพื่อประสานและยึดหมึกลงบนผ้าให้แข็งแรง

วัสดุที่ต้องใช้สำหรับการพิมพ์ด้วยเทคโนโลยี DTG:

  1. เครื่องพิมพ์ DTG: เครื่องพิมพ์โดยตรงบนผ้าที่ออกแบบมาเพื่อพิมพ์ลงผ้า ควรเข้ากันได้กับประเภทผ้าที่คุณใช้
  2. หมึก DTG: หมึกพิมพ์เฉพาะสำหรับเทคโนโลยี DTG ออกแบบมาเพื่อยึดผ้าและให้สีสันสดใส
  3. สารก่อนพิมพ์ (Pretreatment Solution): เหมือนกับกระบวนการ DTF การทาสารก่อนพิมพ์ที่ใช้เพื่อเตรียมผ้าก่อนการพิมพ์ ช่วยให้หมึกยึดเนื้อผ้าได้ดีและสีสันสดใส
  4. เครื่องอบควบคุมอุณหภูมิ (Heat Press Machine): บางเครื่องพิมพ์ DTG อาจต้องใช้เครื่องอบควบคุมอุณหภูมิเพื่อประสานหมึกให้แข็งแรงบนผ้าหลังจากการพิมพ์เพื่อให้หมึกยึดกับผ้าได้อย่างแน่นหนาและคงทนในระหว่างการซัก
  5. เครื่องควบคุมความชื้น (Humidifier): บางสภาพแวดล้อมอาจมีการควบคุมความชื้นเพื่อรักษาระดับความชื้นที่เหมาะสม ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มการดูดซึมหมึกเข้ากับผ้าได้
  6. แผ่นรองผ้า (Textile Platens): เป็นชิ้นส่วนแนบพิเศษสำหรับเครื่องพิมพ์ DTG ที่ช่วยยึดผ้าให้เหนือหน้าเครื่องพิมพ์ เพื่อให้ผ้าคงความราบและตึงเพื่อให้การพิมพ์เป็นไปอย่างแม่นยำ
  7. อุปกรณ์ทำความสะอาด: การทำความสะอาดและการบำรุงรักษาเครื่องพิมพ์ DTG เป็นสิ่งสำคัญ อาจจำเป็นต้องใช้น้ำยาทำความสะอาด สว็อบ และผ้าไม่เป่าใช้
  8. เครื่องอบหรือเครื่องอบควบคุมอุณหภูมิ (Curing Oven or Heat Press) (ตัวเลือก): ขึ้นอยู่กับชนิดของหมึกและผ้าที่ใช้ เครื่องอบหรือเครื่องอบควบคุมอุณหภูมิอาจจะต้องใช้หลังจากการพิมพ์เพื่อประสานหมึกให้แข็งแรงบนผ้า

โปรดจำไว้ว่าวัสดุที่คุณต้องใช้สามารถแตกต่างกันไปตามแบรนด์และโมเดลของเครื่องพิมพ์ที่คุณใช้ ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตและคู่มือการใช้งานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

Digital Printing
Image by vecstock on Freepik

สรุป Digital Printing ดีหรือไม่

การพิมพ์เสื้อยืดด้วยเทคโนโลยี DTF และ DTG คือวิธีที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างเสื้อยืดที่มีลายหรือดีไซน์ที่สวยงามและพิเศษ ทั้งสองเทคโนโลยีนี้มีขั้นตอนง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม ควรศึกษาและทดลองกับวัตถุอย่างหลากหลายก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้ผลิตภัณฑ์ที่ตรงตามความต้องการของคุณและมีคุณภาพสูงสุด อย่างสำคัญอย่าลืมเพลิดเพลินกับกระบวนการสร้างสรรค์และกลายเป็นนักออกแบบเสื้อยืดที่เก่งได้เอง!

Credit Cover Image : Image by rawpixel.com on Freepik

กระดาษรองรีด, สาระทั่วไป, เครื่องรีดร้อน
29/07/2023

EP. 1 เทคนิคไหนเหมาะกับ ธุรกิจสกรีนเสื้อ ของคุณ ? สกรีนปริ้น vs ซับลิเมชั่น vs ดิจิตอลปริ้นท์

ตอนที่ 1 ของ ซีรีส์บทความ เทคนิคไหนเหมาะกับ ธุรกิจสกรีนเสื้อ ของคุณ ? เราจะนำเสนอ 3 เทคนิคยอดนิยมที่มีคอมมูนิตี้เผยแพร่เทคนิคมากมายในแวดวงงานสกรีนคือ ประกอบไปด้วย การสกรีนปริ้น (Screen Printing) การทำซับลิเมชั่น (Sublimation) และ offset และเทคนิคสุดท้าย ดิจิตอลปริ้นท์ (Digital Printing)

และสำหรับ EP. 1 นี้เราจะมาเริ่มกันที่ เทคนิคที่เราชำนาญที่สุดคือ เทคนิคซับลิเมชั่น นั่นเอง ! และข้อมูลต่อไปนี้คุณจะได้รับรู้ถึงวิธีการสกรีนเสื้อแบบซับลิเมชั่น ประโยชน์ของเทคนิคนี้ เพื่อที่คุณจะได้พิจารณาว่าเหมาะสมกับแนวทางธุรกิจสกรีนเสื้อของคุณหรือไม่ มีวัสดุที่เกี่ยวข้องอะไรบ้าง เช่น กระดาษซับลิเมชั่น หมึกซับลิเมชั่น เป็นต้น ขาดไม่ได้คือข้อดี- ข้อเสียของเทคนิคซับลิเมชั่น เพื่อที่คุณจะได้เปรียบเทียบกับเทคนิคอื่น ๆ เพื่อประเมินความคุ้มทุน เอาล่ะ.. จะช้าอยู่ทำไม !

เทคนิคซับลิเมชั่น
Image by vecstock on Freepik

เริ่มทำความรู้จักกับวิธีการระเหิด (Sublimation Method) เป็นอย่างแรก

วิธีการซับลิเมชั่น (Sublimation) หรือที่เรียกกันว่า Sublimation printing เป็นวิธีการพิมพ์ภาพหรือลายลงบนผ้าหรือวัตถุต่าง ๆ ที่ไม่มีขี้ผึ้ง ด้วยการใช้ความร้อนและความดันเพื่อให้หมึกหรือสารสีแปลงเป็นก๊าซโดยตรง ทำให้สามารถผสมผสานกับพื้นผิวของวัตถุได้อย่างดี และทำให้ภาพหรือลายที่ถูกพิมพ์อยู่เกาะอยู่ติดอยู่กับวัตถุนั้นๆ โดยที่ไม่ทำให้สีหรือลายตกค้างที่ผิวของวัตถุ

การทำ Sublimation (Methodology):

  1. การเตรียมวัตถุ: ในขั้นตอนแรกคือการเตรียมวัตถุที่ต้องการพิมพ์ ซึ่งสามารถเป็นผ้า สิ่งทอ แก้ว กระดาษ หรือวัตถุอื่นๆ ที่มีผิวที่เหมาะสมสำหรับการรับสีแบบ Sublimation ให้พร้อมสำหรับกระบวนการต่อไป
  2. การออกแบบภาพ: ในขั้นตอนถัดมาคือการออกแบบภาพหรือลายที่ต้องการพิมพ์ ซึ่งสามารถทำได้โดยใช้โปรแกรมกราฟิกหรือแม้แต่แอปพลิเคชันที่สามารถสร้างลายละเอียดได้ตามความต้องการ
  3. การพิมพ์ภาพ: เมื่อมีภาพหรือลายที่ต้องการพิมพ์เรียบร้อยแล้ว ก็นำมาใส่ในเครื่องพิมพ์ Sublimation ที่มาพร้อมกับหมึก Sublimation หรือสี Sublimation และตั้งค่าการพิมพ์ตามความต้องการ
  4. กระบวนการ Sublimation: เมื่อเครื่องพิมพ์ทำงาน ความร้อนและความดันจะทำให้หมึก Sublimation หรือสีแปลงเป็นก๊าซ และเจือจางเข้ากับเนื้อผ้าหรือวัตถุที่เตรียมไว้ โดยการเกาะกลบเนื้อผ้าหรือวัตถุ นำภาพหรือลายเข้าไปก่อน
  5. การเย็บและเตรียมผลิตภัณฑ์: เมื่อกระบวนการ Sublimation เสร็จสิ้น ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะต้องเย็บและเตรียมให้พร้อมใช้งาน เช่น ผ้าอาบน้ำที่พิมพ์ลาย ก็จะต้องเย็บขอบให้เรียบร้อย

วิธีการ Sublimation (How-to):

  1. เลือกวัตถุ: เลือกวัตถุที่ต้องการพิมพ์ลาย ที่มีผิวที่เหมาะสมสำหรับกระบวนการ Sublimation ได้ เช่น ผ้าอาบน้ำ แก้ว แผ่นโลหะ หรือซับใน ที่มีโครงสร้างพอดีกับการส่งออกความร้อนและกดอย่างเหมาะสม
  2. ออกแบบภาพ: ใช้โปรแกรมกราฟิกหรือแม้แต่แอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟน เพื่อสร้างภาพหรือลายที่ต้องการพิมพ์ ควรคำนึงถึงขนาดและความละเอียดของวัตถุที่จะพิมพ์ เพื่อให้ภาพที่ได้มีความคมชัด
  3. พิมพ์ภาพ: นำภาพที่ออกแบบไว้ไปใส่ในเครื่องพิมพ์ Sublimation และตั้งค่าการพิมพ์ให้เหมาะสม โดยควรทดสอบให้แน่ใจว่าเครื่องพิมพ์ Sublimation ได้รับความเรียบร้อยและใช้หมึก Sublimation หรือสี Sublimation ที่เหมาะสมสำหรับวัตถุที่คุณต้องการพิมพ์ นอกจากนี้ยังต้องตรวจสอบการตั้งค่าอื่นๆ เช่น อุณหภูมิ ระยะเวลา และความดันเพื่อให้ความสวยงามของภาพเป็นอย่างดี
  4. การทำ Sublimation: เมื่อเครื่องพิมพ์ทำงาน ความร้อนที่สร้างขึ้นจะทำให้หมึกหรือสี Sublimation แปลงเป็นก๊าซและซึมลงไปในเนื้อผ้าหรือวัตถุ ซึ่งส่วนมากจะเกิดขึ้นในเวลาอันสั้น การเพิ่มความดันจะช่วยให้กระบวนการนี้เป็นไปได้อย่างรวดเร็วและเสถียรภาพ
  5. ผลิตภัณฑ์ที่ได้: เมื่อกระบวนการ Sublimation เสร็จสิ้น คุณจะได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีลายหรือภาพที่ต้องการพิมพ์อยู่เกาะกับวัตถุ อย่างเช่น ผ้าอาบน้ำที่มีลายสวยงาม แก้วที่มีภาพสีสัน หรือกระดาษลายเก๋ๆ ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะมีความสวยงามและทนทาน

ผลิดภัณฑ์ที่ได้จากเทคนิคนี้

การทำ Sublimation ส่วนใหญ่พบได้กับธุรกิจสกรีนเสื้อ แต่จริง ๆ สามารถใช้กับวัตถุหลากหลายชนิดที่มีผิวที่เหมาะสมสำหรับกระบวนการ ดังนี้:

  1. ผ้าอาบน้ำ: ผ้าอาบน้ำที่มีส่วนผสมของโพลีเอสเตอร์ และโพลีเอสเตอร์พันธุ์ธรรมชนิดใดก็ได้ (polyester) เป็นวัตถุที่นิยมใช้ในการทำ Sublimation printing เนื่องจากสามารถรับสี Sublimation และให้ความคมชัดของภาพได้ดี
  2. เสื้อผ้าและเนื้อผ้าสำเร็จรูป: เสื้อผ้าและเนื้อผ้าที่ทำจากผ้าโพลีเอสเตอร์หรือผ้าส่วนผสมที่มีความเหมาะสมกับ Sublimation สามารถนำมาใช้พิมพ์ลายหรือภาพได้
  3. แก้ว: แก้วที่มีผิวขาวและเนื้อที่ทำจากเซรามิกหรือแก้วที่เหมาะสำหรับ Sublimation สามารถใช้พิมพ์ลายหรือภาพบนพื้นผิวได้
  4. แผ่นโลหะ: แผ่นโลหะที่ไม่มีผิวขัดหรือเคลือบทางเคมีสามารถนำมาใช้สำหรับ Sublimation printing และพิมพ์ลายหรือภาพลงบนพื้นผิวได้
  5. กระดาษ: กระดาษที่มีผิวที่เหมาะสมสำหรับรับสี Sublimation สามารถนำมาใช้พิมพ์ลายหรือภาพได้
  6. โลหะของที่อื่นๆ: ที่แสดงอยู่ข้างต้นเป็นตัวอย่างของวัตถุที่สามารถใช้ Sublimation ได้ แต่ยังมีวัตถุอื่นๆ ที่เหมาะสมสำหรับการพิมพ์ด้วยวิธีนี้ เช่น กระเบื้องโลหะ และอื่นๆ

ต้องเตรียมวัสดุอะไรบ้างก่อนปฏิบัติการ

ก่อนที่คุณจะดำเนินการ ธุรกิจสกรีนเสื้อ ในกระบวนการซับลิเมชั่น นั้นจำเป็นต้องเตรียมวัตถุและอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้:

  1. วัตถุที่จะพิมพ์: เลือกวัตถุที่ต้องการพิมพ์ลายหรือภาพ ที่มีผิวที่เหมาะสมกับกระบวนการซับลิเมชั่น เช่น ผ้าอาบน้ำ, เสื้อผ้า, แก้ว, แผ่นโลหะ, กระดาษ, หรือวัตถุอื่นๆ ที่มีผิวที่ไม่มีขี้ผึ้งและสามารถรับสีซับลิเมชั่น ได้ดี
  2. ลายหรือภาพที่ต้องการพิมพ์: ใช้โปรแกรมกราฟิกหรือแม้แต่แอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟน เพื่อสร้างลายหรือภาพที่ต้องการพิมพ์ลงบนวัตถุ เตรียมไฟล์ลายหรือภาพให้มีขนาดและความละเอียดที่เหมาะสมกับขนาดของวัตถุที่จะพิมพ์
  3. เครื่องพิมพ์ซับลิเมชั่น: ใช้เครื่องพิมพ์ซับลิเมชั่น ที่มีคุณภาพเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความสวยงามและความคมชัดสูง
  4. หมึกซับลิเมชั่น: ใช้หมึกซับลิเมชั่น ที่เหมาะสมกับเครื่องพิมพ์และวัตถุที่จะพิมพ์ หมึกซับลิเมชั่น จะต้องมีคุณภาพที่ดีและสามารถซึมลงไปในวัตถุได้
  5. Heat Press Machine (เครื่องอบ): หลังจากที่พิมพ์ลายหรือภาพลงบนกระดาษซับลิเมชั่น แล้ว จำเป็นต้องใช้ Heat Press Machine เพื่อกดหมึกซับลิเมชั่น ซึ่งอยู่บนกระดาษเข้าไปในวัตถุ โดยให้ความร้อนและความดันที่เหมาะสม อย่าลืมเอากระดาษรองรีดรองก่อนเสมอ
  6. กระดาษซับลิเมชั่น: ใช้กระดาษซับลิเมชั่น เพื่อพิมพ์ลายหรือภาพจากเครื่องพิมพ์ซับลิเมชั่น และนำไปใช้กับ Heat Press Machine เพื่อกดหมึกซับลิเมชั่น เข้ากับวัตถุ
  7. กรรไกรและสกรูไล่: ใช้กรรไกรในกระบวนการตัดกระดาษซับลิเมชั่น เพื่อให้ตรงกับขนาดของวัตถุที่จะพิมพ์ และใช้สกรูไล่ในกระบวนการควบคุมความร้อนและความดันของ Heat Press Machine
  8. ผ้าทิชชู่หรือผ้าเช็ดมือ: ใช้ผ้าทิชชู่หรือผ้าเช็ดมือเพื่อทำความสะอาดผิวของวัตถุ ก่อนที่จะใส่กระดาษซับลิเมชั่น และนำเข้า Heat Press Machine
  9. อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ: ควรมีอุปกรณ์ในการควบคุมอุณหภูมิของ Heat Press Machine เพื่อให้ได้อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับกระบวนการซับลิเมชั่น
  10. ตัวอย่าง (Test Sample): ควรมีวัตถุทดสอบเพื่อทดลองพิมพ์ลายหรือภาพแรกครั้ง โดยใช้กระดาษซับลิเมชั่น เป็นตัวอย่าง จะช่วยให้คุณตรวจสอบความถูกต้องของลายหรือภาพก่อนที่จะทำการพิมพ์บนวัตถุจริง
  11. เครื่องควบคุมอุณหภูมิและเวลา (Thermometer and Timer): ควรใช้เครื่องควบคุมอุณหภูมิและเวลาเพื่อตรวจสอบและปรับอุณหภูมิและเวลาในกระบวนการ Sublimation ให้ตรงตามข้อมูลที่แนะนำของผู้ผลิตหรือสูตรทดสอบของคุณ
  12. แผ่นห่อหุ้ม (Teflon Sheet): ใช้แผ่นห่อหุ้ม (Teflon sheet) เพื่อป้องกันไม่ให้หมึกซับลิเมชั่น ซึมเข้าไปยับยั้งที่ผิวเครื่องพิมพ์และ Heat Press Machine
  13. บรรจุภัณฑ์: หลังจากที่กระบวนการซับลิเมชั่น เสร็จสิ้น ควรมีบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมในการบรรจุผลิตภัณฑ์ที่พิมพ์ เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหายหรือการลอกค้าง
  14. แห้งในที่มีระบบระบายอากาศ (Well-ventilated Drying Area): หลังจากที่ผลิตภัณฑ์ได้รับการพิมพ์และหมึกหรือสี Sublimation ได้ถูกกดเข้ากับวัตถุ ควรมีพื้นที่ในการแห้งที่มีระบบระบายอากาศดี เพื่อให้ผลิตภัณฑ์แห้งและมีกลิ่นที่ไม่ค้างคา
  15. ความระมัดระวังและความปลอดภัย: ทำความเข้าใจและปฏิบัติตามมาตรการความระมัดระวังและความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการซับลิเมชั่น เช่น ใช้แว่นตาป้องกันแสง, สวมเสื้อผ้าป้องกันความร้อน, และใช้เครื่องอบควบคุมอุณหภูมิอย่างถูกต้อง
หมึกซับลิเมชั่น
Image by Freepik

ข้อดีและข้อเสียของวิธีการ Sublimation (Sublimation Method)

ข้อดี:

  1. คุณภาพระดับสูง: กระบวนการ Sublimation สามารถให้คุณภาพภาพที่มีความละเอียดและความคมชัดสูง ซึ่งทำให้ภาพหรือลายที่พิมพ์อยู่เกาะกับวัตถุด้วยความคมชัดและสวยงามมากที่สุด
  2. ระบบสีที่นุ่มนวล: หมึกหรือสี Sublimation ที่ใช้ในกระบวนการนี้จะละลายและซึมลงในเนื้อผ้าหรือวัตถุอย่างเนียนนวล ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงของลักษณะเนื้อผ้า หรือวัตถุและไม่เกิดความหยาบคายหรือขี้ผึ้ง
  3. ลายสีทนทาน: ภาพหรือลายที่พิมพ์ด้วยวิธี Sublimation จะทนทานต่อการล้างของน้ำและแสงแดด ซึ่งทำให้เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในกิจกรรมกลางแจ้งหรือการใช้งานที่ต้องการความคงทนในระยะยาว
  4. สีที่ชัดเจนและสดใส: การพิมพ์ด้วย Sublimation ทำให้สีที่ได้มีความสว่างและสดใส ซึ่งทำให้ภาพหรือลายที่พิมพ์ดูน่าสนใจและเป็นมิตรต่อตา
  5. ความหลากหลาย: Sublimation printing สามารถพิมพ์ภาพหรือลายที่มีความซับซ้อนและรายละเอียดสูง ซึ่งช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับผลิตภัณฑ์ที่พิมพ์ด้วยวิธีนี้

ข้อเสีย:

  1. ค่าใช้จ่ายสูง: กระบวนการ Sublimation มีค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อเครื่องพิมพ์ Sublimation, หมึกหรือสี Sublimation, และวัตถุที่พิมพ์ ทำให้การดำเนินการนี้มีความให้เสียเปรียบกว่าวิธีการพิมพ์อื่นๆ
  2. จำกัดวัตถุที่ใช้พิมพ์: การทำ Sublimation จำกัดต้องใช้วัตถุที่มีผิวที่เหมาะสมสำหรับกระบวนการ ซึ่งอาจจำกัดความหลากหลายในการเลือกวัตถุที่พิมพ์
  3. ความซับซ้อนในกระบวนการ: กระบวนการ Sublimation มีขั้นตอนในการเตรียมวัตถุและควบคุมความร้อนและความดันในการพิมพ์ ซึ่งอาจต้องใช้ความชำนาญและความรอบคอบในการดำเนินการ
  4. จำกัดในการพิมพ์สี: หมึกหรือสี Sublimation มีความจำกัดในสีบางสีที่อาจไม่สามารถทำให้ได้เหมือนกับสีที่แท้จริง ซึ่งอาจมีผลต่อความสวยงามของภาพหรือลายที่พิมพ์
  5. เวลาในการดำเนินการ: การพิมพ์ด้วย Sublimation อาจใช้เวลานานกว่าวิธีการอื่นๆ เนื่องจากต้องรอให้หมึกหรือสี Sublimation ซึมลงไปในวัตถุในระหว่างกระบวนการ

Key Takeaways

เนื่องจากกระบวนการ Sublimation เป็นกระบวนการที่ใช้ความร้อนและความดัน หากคุณเลือกวิธีนี้ใน ธุรกิจสกรีนเสื้อ ของคุณ คุณจึงต้องระมัดระวังในการใช้งาน เพื่อป้องกันอาจเกิดอันตรายจากความร้อนที่เกิดขึ้น และควรให้ความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยในการใช้เครื่องพิมพ์และการจัดเก็บสี Sublimation เสมอ

กระบวนการ Sublimation เป็นวิธีการที่น่าสนุกและน่าสนใจในการพิมพ์ภาพหรือลายลงบนผ้าและวัตถุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่ใช้เองหรือเป็นของขวัญ ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์ดูน่าสวยงามและไม่เหมือนใคร ถ้าคุณต้องการลองทำ Sublimation กับวัตถุโดยตั้งใจในการศึกษาและปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ก็มั่นใจได้ว่าคุณจะสร้างสรรค์ผลงานที่น่าประทับใจมากมาย!

Credit Image : Image by vecstock on Freepik

Some of article came by : https://medium.com/@clashgraphicsga/benefits-screen-print-sublimation-offset-digital-d4ea5e57c956

สาระทั่วไป