01/09/2024

สร้างโลโก้ ให้สุขุมและทรงพลัง ได้อย่างเจ้าแห่งแฟชั่น Goyard / Chanel / Gucci / Dior เขาทำกันอย่างไร ?

“โลโก้มาร์เก็ตติ้ง” ทุกคนเคยได้ยินคำนี้ไหมคะ ? ถ้าใครไม่เคย.. เราอยากให้คุณลองหลับตา และถามตัวเองว่า เคยไหม ? ที่คุณซื้อสินค้าเพียงเพราะคุณแค่เห็นโลโก้ หรือลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์นั้น ไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ มากมายนัก คุณก็พร้อมจะมอบเงินเพื่อแลกกับการเป็นเจ้าของ การได้หยิบมันขึ้นมาใช้ การเห็นมันทุกวัน.. และคุณยังโอนเอียงเชื่อมั่นว่าสินค้านั้นจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง ทั้งในแง่ของคุณภาพ และความเหมาะสมกับการใช้งาน ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเปรียบเทียบกับแบรนด์อื่นให้เสียเวลา และที่สำคัญเหตุผลหลักที่คุณโดนตกไปเรียบร้อย นั่นคือ.. เมื่อโลโก้หรือลวดลายเหล่านั้นผ่านสายตาคุณทุกครั้งที่หยิบใช้ คุณจะรู้สึกภูมิใจ รู้สึกมีรสนิยม มั่นใจในตัวเอง และรู้สึกมีคุณค่าทางสังคมเพิ่มขึ้น หนำซ้ำคุณมั่นใจว่าคนรอบข้างที่พบเห็นโลโก้ของแบรนด์ที่คุณถือในมือ พวกเขาจะหลงสเน่ห์มันไปด้วยกันกับคุณ.. ถึงตรงนี้ เรากำลังพูดถึง การ สร้างโลโก้ การสร้างแบรนดิ้งอีกวิธีนึงที่ประสบความสำเร็จมาหลายศตวรรษ

ทุกคนคะ ในบทความนี้ เราจะยังอยู่กับการหาแรงบันดาลใจ และศึกษาที่มาที่ไปของแบรนด์ดังระดับโลก ที่บางแบรนด์อยู่กับโลกนี้มาหลายศตวรรษ เขาเหล่านั้นให้ความสำคัญกับโลโก้มาร์เก็ตติ้งอย่างมาก เพราะรู้ดีว่าสิ่งนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการบอกเล่าสตอรี่ของแบรนด์ได้อย่างมีนัยสำคัญ ทรงพลังและยั่งยืน และไม่ใช่ความบัญเอิญแน่นอนที่ทำให้ลูกค้าโดนตกโดยง่ายเพียงเพราะเห็นโลโก้ของแบรนด์ที่เรามอบความรอยัลตี้ให้ หากทุกคนได้อ่านบทความที่แล้วเกี่ยวกับ Louis Vuitton ก็น่าจะรู้กันดีว่าทุกอย่างสร้างสรรค์ถูกบรรจงสร้างสรรค์มาอย่างปราณีตและตั้งใจ ส่งผลให้แบรนด์อยู่คู่กับโลกนี้มาอย่างยาวนาน และในวันนี้ เราจะมาหาแรงบันดาลใจเพิ่มเติมกันอีก กับ Luxury แบรนด์ระดับโลก ที่ใช้โลโก้แบรนดิ้งโปรโมตความเป็นตัวเองได้อย่างมีสเน่ห์ ไม่น้อยหน้าไปกว่า Louis Vuitton ทุกคนจะได้ทำความรู้จักที่มาที่ไป และรับรู้ถึงความทรงพลังของแบรนด์โลโก้อย่าง Goyard, Chanel, Gucci และ Dior

Goyard

Goyard สร้างความเป็นตัวตนด้วยการ สร้างโลโก้ Goyardine ใช่แล้ว ! Goyard ตั้งชื่อลายโมโนแกรมของตัวเองขึ้นมาเหมือนที่แบรนด์อื่นๆ ก็มักจะทำกัน ลาย Goyardine เป็นเอกลักษณ์ของกระเป๋า Goyard มีที่มาและแรงบันดาลใจที่น่าสนใจมาก และลวดลายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาแบบบังเอิญ แต่ Goyardine มีความหมายและบอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ของแบรนด์ที่ยาวนานกว่า 230 ปี ได้อย่างลึกซึ้ง

สร้างโลโก้
https://www.goyardworld.com/th-th

Goyardine

Goyardine มีต้นกำเนิดจากงานทำมือหรือคราฟติ้งที่สุดแสนจะปราณีต ก่อนที่จะเป็นลวดลายโมโนแกรมที่โด่งดัง Goyard เริ่มต้นจากการเป็นธุรกิจหีบหนัง โดยใช้ผ้าใบเคลือบในการห่อหุ้มสินค้า ซึ่งต้องใช้ความประณีตและละเอียดอ่อน ในอดีต ลาย Goyardine จะถูกวาดลงบนผ้าใบด้วยมือทีละจุด ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความละเอียดอ่อนสูง ปัจจุบัน Goyard ได้นำเทคโนโลยีการพิมพ์มาใช้ในการสร้างลาย Goyardine เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอและรวดเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม กระบวนการผลิตยังคงเน้นความประณีตและควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด

เพื่อให้แบรนด์มีความโดดเด่นเป็นที่จดจำมากยิ่งขึ้น จึงได้มีการพัฒนาลายโมโนแกรมขึ้นมา โดยใช้ตัวอักษร “Y” ซึ่งเป็นอักษรตัวกลางของชื่อแบรนด์เป็นองค์ประกอบหลัก ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ โดยเฉพาะลวดลายของไม้ ซึ่งสื่อถึงประวัติศาสตร์ของตระกูล Goyard ที่เคยมีกิจการค้าไม้มาก่อน ทำให้เอกลักษณ์ของแบรนด์นั่นโดดเด่นไม่เหมือนใคร และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ทำให้ลูกค้าสามารถแยกแยะกระเป๋า Goyard ออกจากแบรนด์อื่นได้อย่างง่ายดาย และปฏิเสธไม่ได้ว่า กระเป๋า Goyard ที่มีลวดลายโมโนแกรม Goyardine ไม่เพียงแต่เป็นเอกลักษณ์ของกระเป๋า Goyard เท่านั้น แต่แสดงถึงสัญลักษณ์ของความหรูหรา คลาสสิก และงานฝีมือที่ประณีต สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ ความเป็นมา และความใส่ใจในรายละเอียดของแบรนด์ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้กระเป๋า Goyard เป็นที่ต้องการของผู้ที่ชื่นชอบสินค้าแบรนด์เนมและงานฝีมืออันประณีต

Chanel

การ สร้างโลโก้ หรือการออกแบบลวดลายของ Chanel มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นไปตามยุคสมัย แต่ล้วนแล้วสามารถสรุปได้เลยว่าท๊อปแบรนด์ระดับโลกนี้ ลวดลายของเขาไม่เพียงแต่เป็นการตกแต่ง แต่ยังเป็นตัวแทนของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นคนที่สง่างามและทันสมัย มีความพิเศษและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งแรงบันดาลใจหลักๆ ที่ถูกนำมาใช้ในการสร้างสรรค์ลวดลายเหล่านี้มี

ดอกคามิลเลีย (Camellia)

ดอกคามิลเลียสัญลักษณ์ของแบรนด์ เป็นดอกไม้ที่ Coco Chanel ชื่นชอบเป็นพิเศษ และกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ชาเนล มีความหมายถึงความเรียบง่าย ความสง่างาม และความเป็นอมตะ ซึ่งสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ Chanel โดยลวดลายดอกคามิลเลียถูกนำมาประดับบนสินค้ามากมาย แว่นตา เสื้อผ้า กระเป๋าในรูปแบบต่างๆ ทั้งการปัก การเย็บ หรือการขึ้นรูป

สร้างโลโก้
https://www.chanel.com/th/

ลายควิลท์ (Quilt)

ได้แรงบันดาลใจมาจากลายผ้าห่มที่ Coco Chanel ชื่นชอบ และนำมาประยุกต์ใช้กับกระเป๋า ขาแว่นตา เสื้อผ้า ตามแต่ละดีไซน์ สื่อถึงความหรูหรา ความอบอุ่น และความคลาสสิก

ลายโลโก้ Chanel

โลโก้ของแบรนด์ ได้แรงบันดาลใจมาจากตัวอักษร Chanel ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ และสื่อถึงความเป็นตัวตนของแบรนด์ได้อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเราเห็นกันเป็นประจำอยู่แล้วกับลวดลายโลโก้ Chanel ที่มักถูกนำมาประดับบนกระเป๋าในรูปแบบต่างๆ เช่น การปั๊ม การเย็บ หรือการประดับด้วยโลหะ

นอกจากนี้แล้ว Chanel ยังมีการ สร้างโลโก้ ด้วยลวดลายที่ได้แรงบันดาลใจจากสิ่งรอบตัวอื่นๆ เช่น ธรรมชาติ ใบไม้ สัตว์ ศิลปะร่วมสมัย หรือแรงบันดาลใจจากศิลปินชื่อดัง และยังมีเทรนด์แฟชั่นในยุคต่างๆ ก็มีส่วนในการสร้างสรรค์ลวดลายใหม่ๆ ให้กับแบรนด์ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ลวดลายของ Chanel โดดเด่น ใครโดนตกแล้วคงรู้ดีว่าสินค้าของคุณที่มีโลโก้ Chanel ตีตรานั้น มีความคลาสสิกและไม่ตกยุค มีความหรูหรา เพราะวัสดุที่นำมาใช้ในการสร้างสรรค์ลวดลายมีความละเอียดอ่อน มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ

Gucci

ลวดลายโลโก้ของ Gucci นั้นมีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์และความหรูหราของแบรนด์เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น และต่อไปนี้คือแรงบันดาลใจหลักๆ ที่ถูกนำมาใช้ในการสร้างสรรค์ลวดลายบนสินค้าของแบรนด์

สร้างโลโก้
https://www.gucci.com/th/th/

Interlocking G

สัญลักษณ์ ตัว G สองตัวที่เชื่อมต่อกันเป็นรูปทรงที่โดดเด่นและเป็นที่จดจำมากที่สุดของ Gucci ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจ มาจากชื่อของ Guccio Gucci ผู้ก่อตั้งแบรนด์ และเพียงแค่คุณมอง Interlocking G ผ่านสายตา เชื่อว่าลวดลายโมโนแกรมสุดคลาสสิคนี้สามารถสื่อถึงความเป็นเอกลักษณ์และความหรูหราของแบรนด์ Gucci ได้เป็นอย่างดี

Horsebit

บางครั้ง Gucci ก็ใส่ลูกเล่นไปบนลวดลายเดิม โดย สร้างโลโก้ เป็นรูปตะขอรัดปากม้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากอุปกรณ์ขี่ม้า แน่นอนว่ามาจากความหลงใหลในโลกกีฬาขี่ม้าของ Guccio Gucci

Flora

มีแรงบันดาลใจมาจากภาพวาดดอกไม้ที่ออกแบบโดย Vittorio Accornero de Grazia ในปี 1966 สื่อถึงความโรแมนติกและความหรูหรา มักถูกนำมาประดับบนกระเป๋าและผ้าพันคอ

แรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมและศิลปะ

Gucci มักจะนำเอาองค์ประกอบทางวัฒนธรรมต่างๆ มาผสมผสานกับดีไซน์ เช่น วัฒนธรรมจีน ญี่ปุ่น หรือวัฒนธรรมตะวันออกกลาง ร่วมไปถึงศิลปะร่วมสมัย โดยแบรนด์มักจะร่วมมือกับศิลปินร่วมสมัยในการสร้างสรรค์คอลเลกชั่นพิเศษ ซึ่งส่งผลต่อลวดลายบนกระเป๋าหรือสินค้าอื่นๆ ด้วย

แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ

มีสัตว์ต่างๆ เช่น เสือดาว งู หรือสิงโต มักถูกนำมาเป็นลวดลายบนกระเป๋า และยังมีพืชที่นอกจากลาย Flora แล้ว ก็ยังมีใบไม้ ดอกไม้ ต่างๆ

สิ่งที่ทำให้ลวดลายของ Gucci โดดเด่น คือความหลากหลายของลวดลายเพราะทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมาย คลาสสิคแต่ไม่ละทิ้งความทันสมัย เพราะ Gucci มักจะนำเสนอลวดลายใหม่ๆ ที่ทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน และสำคัญคือยังคงมีความหรูหรา ทั้งจากวัสดุที่นำมาใช้ในการสร้างสรรค์ลวดลายที่มีความละเอียดอ่อนและหรูหรา มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

Dior

มาถึง Luxury แบรนด์สุดท้ายที่จะกล่าวถึงในบทความนี้กันแล้ว และจากสามแบรนด์ระดับโลกที่กล่าวถึงไปแล้ว มั่นใจเลยว่าทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ คงคิดเหมือนกันว่า แต่ละเจ้ากินกันไม่ลงจริงๆ.. เพราะทุกแบรนด์ล้วนมีเอกลักษณ์และมอบความ privilege เฉพาะตัวในแบบของใครของมันให้แก่ลูกค้า และแบรนด์สุดท้ายอย่าง Dior ก็เช่นกัน เพราะ Dior นั้นเต็มไปด้วยความหรูหราและความประณีต ซึ่งสะท้อนถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์มาโดยตลอด แรงบันดาลใจที่ถูกนำมาใช้ในการสร้างสรรค์ลวดลายของแบรนด์ก็น่าสนใจไม่แพ้เจ้าอื่นแน่นอน

Cannage

สัญลักษณ์ของแบรนด์ เป็นลายที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของ Dior มากที่สุด ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเก้าอี้นโปเลียนที่ทำจากหวาย ซึ่งเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ Christian Dior ชื่นชอบและนำมาใช้ในการตกแต่งบ้าน สื่อถึงความหรูหรา ความคลาสสิก และความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Dior

สร้างโลโก้
https://www.dior.com/th_th/fashion

Oblique

Oblique หรือ ลายเฉียง เป็นลวดลายที่คลาสสิกมาก และเชื่ออย่างสุดใจว่าสำหรับคนรัก Dior ทุกคน “ต้องมี” ลายนี้ และลวดลายนี้ยังถือเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์อย่างแท้จริง โดยมีต้นกำเนิดย้อนกลับไปถึงช่วงปี ค.ศ. 1950 ได้เลยทีเดียว

ดอกไม้

ยังคงเป็นแรงบันดาลใจเฉพาะตัวของ Christian Dior เหมือนเดิม เพราะเจ้าตัวมีความหลงใหลในดอกไม้เป็นอย่างมาก จึงนำดอกไม้มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ แน่นอนว่าดอกไม้สื่อถึงความสวยงาม ความโรแมนติก และความเป็นผู้หญิง การ สร้างโลโก้ ลวดลายดอกไม้นี้มักถูกนำมาประดับบนกระเป๋าในรูปแบบต่างๆ เช่น การปัก การพิมพ์ หรือการประดับด้วยคริสตัล

ลายตาหมากรุก

แฟชั่นในยุค 60 เป็นแรงบันดาลใจของลวดลายนี้ ซึ่งเป็นยุคที่ Dior ประสบความสำเร็จอย่างมาก ยังคงสื่อถึงความทันสมัยและความคลาสสิกเช่นเดิม โดยมักถูกนำมาใช้เป็นพื้นหลังหรือเป็นส่วนประกอบของลวดลายอื่นๆ

แรงบันดาลใจอื่นๆ

  • Dior มักจะนำเอาองค์ประกอบทางศิลปะต่างๆ มาผสมผสานกับดีไซน์ เช่น ภาพวาด ประติมากรรม หรือสถาปัตยกรรม
  • วัฒนธรรมต่างๆ ก็มีส่วนในการสร้างสรรค์ลวดลายบนกระเป๋า Dior เช่น วัฒนธรรมฝรั่งเศส วัฒนธรรมเอเชีย
  • สัตว์ต่างๆ เช่น นก ผีเสื้อ หรือสิงโต มักถูกนำมาเป็นลวดลายบนกระเป๋า
  • ธรรมชาติรอบตัว เช่น ท้องทะเล ดวงดาว ก็เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ลวดลาย

ความโดดเด่นอย่างนึงของ Dior คือความหรูหราทันสมัยที่สื่อผ่านโลโก้และลวดลายของ Dior จริงๆ เพียงแค่ได้ยินชื่อแบรนด์ก็หรูแล้ว เพราะนี่คือตัวตนของ Dior อย่างปฏิเสธไม่ลง ทั้งยังแฝงด้วยความคลาสสิก ซึ่งแม้จะมีการพัฒนาลวดลายใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่ลวดลายของ Dior ก็ยังคงความคลาสสิก สำคัญที่ทำให้ลูกค้ายังรัก Dior ไม่ไปไหน เพราะคุณภาพของสินค้ามีความละเอียดอ่อนสูงสุด เช่น การผลิตกระเป๋า Dior นั้นใช้ฝีมือช่างชั้นสูง ทำอย่างปราณีต จึงทำให้ให้ลวดลายมีความสวยงาม คงทน และมีมูลค่า

Credits : Product pictures from,

Cover Images : Image by rawpixel.com on Freepik

สาระทั่วไป
24/07/2024

ทำความรู้จัก Luxury แบรนด์เนม งานอาร์ตตัวแม่ เจ้าของลายโมโนแกรมดอกไม้สี่แฉก ที่มี ลิซ่า เป็น House Ambassador

หากกล่าวถึง Luxury แบรนด์เนมแบรนด์นึงที่ครองใจคนทั้งโลกมาอย่างยาวนาน นอกจากคุณภาพและดีไซน์ของผลิตภัณฑ์ที่ยึดเหนี่ยวเหล่าสาวกผู้ภักดีมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ยังมีสิ่งๆ นึงที่ทำให้ทั้งโลกที่เป็น “ลูกค้า” หรือ “ยังไม่เคยเป็นลูกค้า” ของแบรนด์นี้มาก่อนต้องรู้สึกตราตรึงติดตาด้วยมนต์สเน่ห์ของโลโก้และลวดลาย “โมโนแกรมดอกไม้สี่แฉก” อันแสนจะหรูหรา อารัมภบทมาถึงตรงนี้ หลายคนคงเดาออกแล้วว่าเรากำลังพูดถึงแบรนด์ LV ใช่แล้ว.. คงไม่มีใครไม่รู้จัก “Louis Vuitton

ซึ่งยิ่งตอกย้ำให้แบรนด์ Louis Vuitton เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และทัชใจกับเด็กๆ เจเนอเรชันใหม่ โดยแบรนด์แต่งตั้ง ลิซ่า หรือที่เราคุ้นเคยกันมากกับการเรียกว่า ลิซ่า BLACKPINK ให้เป็น House Ambassador อย่างเป็นทางการ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 แม้ว่าเมื่อเดือนก่อนหน้าก็เพิ่งแต่งตัว กงยู ไปแล้วก็ตามที เพียงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นนี้ หากมองในมุมมองของโมเดลธุรกิจแล้ว จึงน่าชื่นชมที่แบรน์มีวิสัยทัศน์ทันโลก และยังคงความนิยมอย่างอมตะนิรันด์มายาวนานถึงเกือบสองศตวรรษ และแน่นอนว่าไม่มีทีท่าจะแผ่ว ..อะไรที่ทำให้ LV เดินทางมาถึงเกือบสองร้อยปีได้จนถึงทุกวันนี้ คุณภาพสินค้า? ดีไซน์ของผลิตภัณฑ์? วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร? หรือโลโก้โมโนแกรมสุดยูนีค? จริงๆ ก็ทั้งหมดนั่นแหละ วันนี้เราจะลองไปเจาะลึกทีละเรื่องกัน

Louis Vuitton

เต็มเปี่ยมไปด้วย ดีไซน์และคุณภาพ

แบรนด์ Louis Vuitton มีต้นกำเนิดจากกรุงปารีส โดยช่างทำกระเป๋าชาวฝรั่งเศส ประสบความสำเร็จจากการออกแบบกระเป๋าเดินทางที่มีน้ำหนักเบา ทนทาน และกันน้ำ ทำให้ทั้งดีไซน์และคุณภาพสินค้าของเขาได้รับความนิยมจากนักเดินทางที่มีฐานะร่ำรวย และกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ชื่อของแบรนด์ก็ตรงตามชื่อของช่างผู้ก่อตั้งเลย ไม่ซับซ้อน “หลุยส์ วิตตอง” นั่นเอง

สาขาแรกเปิดในกรุงลอนดอน ต่อมาเขาได้ขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ ในยุโรป อเมริกา และเอเชีย เริ่มต้นจากธุรกิจครอบครัวที่ส่งต่อกันรุ่นสู่รุ่น บริหารกันจนแบรนด์กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลก ที่โด่งดังจากสินค้าหนัง กระเป๋าเดินทาง และเครื่องประดับ ที่มีคุณภาพสูง และดีไซน์ที่เหนือกาลเวลา ปัจจุบันเป็นเจ้าของโดย LVMH Moët Hennessy หนึ่งในกลุ่มบริษัทสินค้าหรูหราที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ข้อมูลปี ค.ศ. 2024)

ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพสูง

เป็นที่รู้กันดีว่าสินค้าของแบรนด์นี้มีชื่อเสียงในเรื่องคุณภาพที่สูง โดยมีจุดเด่นดังต่อไปนี้:

  • วัสดุ : ใช้วัสดุคุณภาพสูงเท่านั้น เช่น หนังแท้ ผ้าใบ แคนวาส โลหะมีค่า อัญมณี ทุกชิ้นผ่านการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ได้วัสดุที่ดีที่สุด
  • การออกแบบ : สินค้าออกแบบโดยดีไซเนอร์ชั้นนำ เน้นความคลาสสิก เหนือกาลเวลา ผสมผสานกับเทรนด์แฟชั่นปัจจุบัน ทำให้สินค้าดูทันสมัยและน่าดึงดูด
  • งานฝีมือ : สินค้าผลิตด้วยมือโดยช่างฝีมือที่มีประสบการณ์สูง ทุกชิ้นผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าได้มาตรฐานสูงสุด
  • ความทนทาน : สินค้ามีชื่อเสียงในเรื่องความทนทาน ใช้งานได้ยาวนานหลายปี คุ้มค่ากับการลงทุน

Flagship Products !

  • กระเป๋า : ผลิตจากหนังแท้คุณภาพสูง ทนทาน ใช้งานได้หลายปี มีดีไซน์ที่หลากหลาย ทั้งแบบคลาสสิกและแบบทันสมัย
  • รองเท้า : ผลิตจากหนังแท้ หรือผ้า ดีไซน์สวยงาม ใส่สบาย ทนทาน
  • เครื่องประดับ : ผลิตจากวัสดุชั้นดี ดีไซน์สวยงาม เหมาะกับทุกโอกาส
  • น้ำหอม : ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ กลิ่นหอมหรูหรา ติดทนนาน

อย่างไรก็ตาม สินค้ามีราคาค่อนข้างแพง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพสูง ดีไซน์สวยงาม และทนทาน

โมโนแกรมดอกไม้สี่แฉก

“ทำไมโลโก้แบรนด์ Louis Vuitton ถึงจดจำง่าย ทำออกมาได้ดี และหรูหรา ?” คำถามนี้น่าสนใจและชวนติดตาม โลโก้เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้ และถึงแม้ว่าจะทำออกมาสวย แต่การทำให้คนทั้งโลกจดจำได้ง่าย.. กลับเป็นเรื่องตรงกันข้าม ไม่มีใครกล้าปฏิเสธหากจะบอกว่าคนที่เป็น “ลูกค้า” หรือ “ยังไม่เคยเป็นลูกค้า” ของแบรนด์นี้มาก่อน ต่างต้องรู้สึกตราตรึงติดตาด้วยมนต์สเน่ห์ของโลโก้ “LV” ผสมผสานกับลายโมโนแกรมดอกไม้สี่แฉก กลายเป็นหนึ่งในโลโก้แบรนด์ที่จดจำง่ายและโด่งดังที่สุดในโลก

แรงบันดาลใจ

โลโก้ LV ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหลายแหล่ง ดังนี้

  • ลายคามอน (Kamon) ของญี่ปุ่น : ลวดลายนี้เป็นลายประจำตระกูลที่ใช้สืบทอดกันมาในญี่ปุ่น Georges Vuitton ลูกชายของผู้ก่อตั้งแบรนด์ นำลวดลายคามอนมาประยุกต์ใช้กับโลโก้ LV ในปี 1896 ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
    • เพื่อป้องกันการลอกเลียนแบบ : ในยุคนั้น กระเป๋ามักถูกเลียนแบบลวดลายอยู่บ่อยครั้ง ลายคามอนมีเอกลักษณ์และยากต่อการลอกเลียนแบบ
    • สื่อถึงวัฒนธรรมตะวันออก : ลายคามอนได้รับความนิยมในยุโรปช่วงนั้น การนำลายคามอนมาใช้เป็นการแสดงถึงความทันสมัยและความมีรสนิยม
  • รูปปั้นนางอัปสร : บางคนเชื่อว่า Georges Vuitton ได้แรงบันดาลใจจากรูปปั้นนางอัปสรในนครวัด ประเทศกัมพูชา มาออกแบบโลโก้
  • ลายกระเบื้อง : บางคนเชื่อว่า Georges Vuitton ได้แรงบันดาลใจจากลายกระเบื้องในพระราชวังแวร์ซาย ประเทศฝรั่งเศส มาออกแบบโลโก้

เอกลักษณ์และจดจำได้ง่าย

โลโก้แบรนด์ Louis Vuitton นั้นมีเอกลักษณ์และจดจำได้ง่าย ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

  • การออกแบบที่เรียบง่าย : โลโก้ประกอบด้วยตัวอักษรย่อ “LV” และลายโมโนแกรมดอกไม้สี่แฉก การออกแบบที่เรียบง่ายนี้ช่วยให้จดจำได้ง่าย และดูดีบนผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท
  • การผสมผสานตัวอักษรและลาย : การผสมผสานตัวอักษรย่อ “LV” เข้ากับลายโมโนแกรม ทำให้โลโก้ดูมีเอกลักษณ์และน่าสนใจ
  • การใช้สี : มักใช้สีน้ำตาลเข้ม สีนี้สื่อถึงความหรูหรา คลาสสิก และเหนือกาลเวลา
  • ความสมดุล : องค์ประกอบต่างๆ ในโลโก้ เช่น ตัวอักษร ลายโมโนแกรม และเส้นกรอบ จัดวางอย่างสมดุล ทำให้โลดูสบายตาและน่ามอง
  • ความคงทน : แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรก ความคงทนนี้ช่วยสร้างความคุ้นเคย และทำให้โลโก้ดูน่าเชื่อถือ

เสริมสร้างด้วยปัจจัยอื่น

นอกจากการออกแบบโลโก้ที่โดดเด่นแล้ว ยังได้รับการเสริมสร้างด้วยปัจจัยอื่นๆ ดังนี้

  • ชื่อเสียงแบรนด์ : ป็นหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลก ชื่อเสียงของแบรนด์ช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับโลโก้
  • คุณภาพ : มีคุณภาพสูง ผลิตจากวัสดุชั้นดี การออกแบบที่ประณีต โลโก้บนสินค้าจึงเป็นตัวแทนของคุณภาพและความหรูหรา
  • การตลาด : ใช้กลยุทธ์การตลาดที่หลากหลาย เพื่อโปรโมทแบรนด์และโลโก้ ทำให้โลโก้เป็นที่รู้จักและจดจำไปทั่วโลก

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ โลโก้ LV จึงกลายเป็นหนึ่งในโลโก้แบรนด์ที่โด่งดังและมีมูลค่ามากที่สุดในโลก โลโก้ของแบรนด์นั้น เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของ ความหรูหรา งานฝีมือ และ ประวัติศาสตร์อันยาวนาน ซึ่งยังคงความคลาสสิกและเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน

Tips: เตรียม หมึกซับลิเมชั่น เตรียม กระดาษซับลิเมชั่น และ กระดาษรองรีด สั่งปริ้นลายโมโนแกรม LV มาทำซับลิเมชั่นบนเสื้อคุณดูก็ได้ รับรองสวนน่าใส่มากๆ แต่อย่านำไปขายล่ะ เดี๋ยวติดลิขสิทธิ์ !

Louis Vuitton

โมเดลธุรกิจของ Louis Vuitton ในปัจจุบัน (ปี 2024)

มาดูโมเดลธุรกิจกันบ้าง ว่าอะไรที่ทำให้แบรนด์เล็กๆ ของช่างทำกระเป๋าคนนึง ที่ต่อยอดไปเป็นธุรกิจครอบครัว และสามารถส่งต่อกันรุ่นสู่รุ่น จนกระทั้งสามารถบริหารให้แบรนด์ Louis Vuitton ประสบความสำเร็จอย่างมากมายในฐานะแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลก โมเดลธุรกิจของพวกเขาประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญดังต่อไปนี้:

สินค้า

  • ความหรูหรา : มุ่งเน้นไปที่การผลิตสินค้าหรูหรา โดยใช้วัสดุคุณภาพสูง การออกแบบที่ทันสมัย และงานฝีมือที่ประณีต สินค้าหลักๆ ของพวกเขา ได้แก่ กระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ น้ำหอม และนาฬิกา
  • ควบคุมคุณภาพ : มีชื่อเสียงในเรื่องการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด สินค้าทุกชิ้นผลิตขึ้นในโรงงานของตัวเอง ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าได้มาตรฐานสูงสุด
  • กลยุทธ์การไม่ลดราคา : ไม่เคยลดราคาสินค้า กลยุทธ์นี้ช่วยรักษาภาพลักษณ์แบรนด์และความพิเศษของสินค้า

การตลาด

  • ภาพลักษณ์ : สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่หรูหรา มีระดับ เหนือกาลเวลา และเข้าถึงได้ยาก
  • การโฆษณา : ใช้กลยุทธ์การโฆษณาที่หลากหลาย เช่น การโฆษณาทางสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อออนไลน์ ป้ายโฆษณา และการสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ
  • ดิจิทัล : ให้ความสำคัญกับช่องทางดิจิทัล มีเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียที่แข็งแกร่ง นำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ราบรื่น และสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า
  • Influencer : มักจะร่วมมือกับ Influencer หลากหลายวงการ ทั้ง ดารา และบุคคลที่มีชื่อเสียง เพื่อโปรโมทสินค้าและแบรนด์

การจัดจำหน่าย

  • ร้านค้า : มีเครือข่ายร้านค้าหรูหราทั่วโลก ตั้งอยู่ในแหล่งช้อปปิ้งที่สำคัญ ตกแต่งร้านอย่างสวยงาม มอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่หรูหรา
  • การขายออนไลน์ : มีเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าออนไลน์ได้
  • ห้างสรรพสินค้า : ยังมีสินค้าวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำบางแห่ง

กลยุทธ์อื่นๆ

  • การสร้างประสบการณ์ : มุ่งมั่นสร้างประสบการณ์ที่พิเศษให้กับลูกค้า เช่น การจัดแฟชั่นโชว์ กิจกรรมพิเศษ และบริการส่วนตัว
  • ความยั่งยืน : ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดการก่อมลพิษ
  • การผสมผสาน : มักจะผสมผสานดีไซน์คลาสสิกกับเทรนด์แฟชั่นปัจจุบัน ทำให้สินค้าของพวกเขาทันสมัยและน่าดึงดูด

Key Takeaways

โมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่งของแบรนด์ Louis Vuitton ช่วยให้แบรนด์ประสบความสำเร็จอย่างมาก กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีค่าที่สุดในโลก และเป็นที่นิยมของลูกค้าทั่วโลก คีย์เวิร์ดสำคัญคือแบรนด์มุ่งเน้นไปที่คุณภาพสินค้า สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่แข็งแกร่ง มีกลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาด และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย รู้จักสร้างกระแส และปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ที่สำคัญที่สุดคือหนึ่งในเรือธงที่ดึงดูดลูกค้าได้ทุกเจเนอเรชัน ก็คือ โลโก้ลายโมโนแกรมอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของ ความหรูหรา งานฝีมือ และ ประวัติศาสตร์อันยาวนาน ซึ่งยังคงความคลาสสิกและเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน องค์ประกอบเหล่านี้ผสมผสานกันและช่วยทำให้แบรนด์แยกตัวออกจากคู่แข่ง และกลายเป็นหนึ่งในโลโก้แบรนด์ที่โด่งดังและประสบความสำเร็จอย่างมากมายในฐานะแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลก มียอดขายหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี

Credit Images : https://th.louisvuitton.com/

สาระทั่วไป
16/03/2024

“สร้างอิทธิพลต่อการซื้อ” เทคนิคการจับคู่สี ออกแบบโลโก้ งานสกรีนเสื้อยืด

หากใครกำลังออกแบบโลโก้ คิดลายงานสกรีนเสื้ออยู่ รวมไปถึงทำป้ายร้าน ป้ายโฆษณา แบนเนอร์ต่าง ๆ และยังไม่แน่ใจว่าจะต้องเลือกสีอะไรดี สีที่ชอบ สีที่ใช้ สีที่ถูกโฉลก หรือมีการจับคู่สีอย่างไรดี เพื่อให้งานที่ดีไซน์ออกมาดูสอดคล้องกัน สวยงาม กลมกลืน เหมาะกับสินค้า.. คุณมาถูกที่แล้ว ! บทความนี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจถึงการจับคู่สีมากขึ้น รวมถึงเข้าใจว่าทำไมการจับคู่สีให้เหมาะสมจึงมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในการซื้อหรือใช้บริการของลูกค้า อย่างที่คุณอาจจะคาดไม่ถึง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปดู เทคนิคการจับคู่สี กันเลยดีกว่า

มาดูกัน เทคนิคการจับคู่สี มีหลักการอย่างไร

หากได้ยินคำว่า เทคนิคการจับคู่สี เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่ทำงานเกี่ยวกับงานศิลปะและดีไซน์ คงสามารถนึกเทคนิคออกมาได้เยอะ แต่สำหรับในบทความนี้จะยกตัวอย่างเทคนิคที่เป็นกระแสนิยมที่คนส่วนใหญ่ได้ใช้กันทั่วโลก ที่จะต้องปูพื้นฐานให้แน่นก่อน จำเป็นจะต้องรู้จัก วงล้อสี (Color Wheel) เป็นแผนภาพหรือเครื่องมือที่ใช้ในการสามารถจัดเรียงและแสดงสีทั้งหมด โดยจะสามารถแบ่งได้เป็น 3 Layer คือ

  • สีหลัก (Primary color) หรือแม่สี สีแดง, สีเหลือง และสีน้ำเงิน
  • สีรอง (Secondary color) เป็นสีที่เกิดจากการผสมกันระหว่างสีหลัก สีส้ม, สีเขียว และสีม่วง
  • สีตติยภูมิ (Tertiary color) เป็นสีที่เกิดจากการผสมกันระหว่างสีหลักและสีรอง ส้มเหลือง, ส้มแดง, เขียวเหลือง, เขียวน้ำเงิน, ม่วงแดง และม่วงน้ำเงิน
เทคนิคการจับคู่สี
Image by master1305 on Freepik

นอกจากสีในแต่ละ Layrer ที่คุณได้รู้จักแล้วด้านบน จริง ๆ เพียงแค่นี้ก็ว้าวแล้วสำหรับการนำไอเดียไปออกแบบ แต่หากคุณได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า “โทนสี” อีกซักหน่อย จะทำให้คุณออกแบบงานได้ตรงกับคอนเซ็ปงานและเล่นกับความรู้สึกที่อยากจะสื่อผ่านงานออกแบบของคุณได้มากยิ่งขึ้น ! ซึ่ง โทนสี สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ตามหลายคำจำกัดความ แต่ในบทความนี้จะขอยกโทนสีออกเป็น 2 ประเภท โดยแบ่งได้เป็นสีโทนเย็นและสีโทนร้อน ถ้าหากเราลากเส้นกึ่งกลางตัดตรงกลางระหว่างวงล้อสี จะสามารถแบ่งสีโทนร้อนและโทนเย็นออกจากกันได้ทันที 

  • สีโทนเย็น เป็นโทนสีที่ให้ความรู้สึกสงบ น่าค้นหา ความสันโดษ
  • สีโทนร้อน เป็นโทนสีที่ให้ความรู้สึกมีพลัง อบอุ่น โดดเด่น สะดุดตา

แค่สองโทนก็ทำให้คุณออกแบบงานในระดับพื้นฐานถึงระดับปานกลางแล้วแหละ เช่น ถ้าคุณมีร้านชาบูหมาล่า และคุณให้คอนเซ็ปสินค้าคือเผ็ดซ่าชาลิ้น ดังนั้น ถ้าคุณจะออกแบบลายเสื้อสกรีนของพนักงานร้าน คุณเลือกที่จะออกแบบไปใน โทนสีไหน ??? คุณรู้คำตอบอยู่แล้วแหละ ! เริ่มแบ่งเส้นตัดที่วงล้อสีได้เลย !!! และถ้าคุณจะใช้วิธีสกรีนลวดลายเสื้อผ่านเทคนิคซับลิเมชัน ก็อย่าลืมเตรียม กระดาษรองรีด กระดาษซับลิเมชัน และ หมึกซับลิเมชัน ให้พร้อม..

รวมเด็ด เทคนิคการจับคู่สี ที่ใช้ได้ตลอดกาล

เมื่อได้ทำความเข้าใจกับวงล้อสีแล้ว ต่อไปเป็นการทำความเข้าใจกับเทคนิคการจับคู่สี ซึ่งมีอยู่หลากหลายเทคนิค ซึ่งในแต่ละงานก็จะมีการเลือกใช้เทคนิคที่แตกต่างกัน โดยตัวอย่างเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลายจะสามารถแบ่งได้เป็น

1. เทคนิคเลือกคู่สีตรงข้าม (Complementary color scheme)

เทคนิคการจับคู่สี แรกคือการเลือกสีที่อยู่ตรงข้ามกันในวงล้อสีเพื่อให้สีตัดกัน เช่น สีเขียวกับสีแดง หรือ สีน้ำเงินกับสีส้ม เป็นต้น ซึ่งสีประเภทดังกล่าวจะเป็นสีที่เมื่อตัดกันแล้วจะมีความโดดเด่นและสดใส

2. เทคนิคเลือกคู่สีที่ใกล้เคียงกัน (Analogous color scheme)

คือการเลือกคู่สีที่อยู่เฉดหรือโทนสีใกล้เคียงกันหรือติดกันในวงล้อสี เช่น สีฟ้า, สีเขียว และสีน้ำเงินอมเขียว เป็นต้น โดยวิธีเลือกคู่สีที่ใกล้เคียงกันมักใช้เพื่อให้สร้างความรู้สึกกลมกลืน สามัคคี 

3. เทคนิคเลือกคู่สีแบบสมดุล (Triadic color scheme)

คือการเลือกสีจากในวงล้อโดยให้เลือก 3 จุดตรงข้ามกัน (ตัดจุดกันให้เป็นสามเหลี่ยม) เช่น การเลือกสีแดง, เหลือง และน้ำเงิน เป็นต้น วิธีดังกล่าวจะสร้างความสมดุลกันอย่างลงตัว และถือเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่เมื่อใช้แล้วจะทำให้น่าดึงดูด

4. เทคนิคเลือกคู่สีแบบเดียว (Monochromatic color scheme)

คือการเลือกสีที่อยู่ในโทนเดียวกันนำมาผสมกัน โดยหลักการนี้มีคนเข้าใจผิดอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากชื่อของหลักการอาจจะทำให้สับสน โดยเสน่ห์ของการเลือกใช้โทนสีเดียวคือการเลือกสีเดียวกันแต่ปรับแต่ง Saturation เพื่อเพิ่มความมีชีวิตชีวา และทำให้งานออกมาดูหรูหรา

เทคนิคการจับคู่สี
Image by Freepik

แรวม Website ที่ช่วยในการออกแบบจับคู่สี

หากใครที่ไม่มีเวลาว่างพอหรืออาจต้องการตัวช่วยและทางลัดในการจับคู่สีให้เข้ากัน ตอนนี้ได้มีหลาย Website ที่ได้ทำการพัฒนาจนสร้างเครื่องมือที่ช่วยให้ทุคนสามารถเข้าไปใช้งาน ซึ่งเครื่องมือที่อยู่ในเว็บไซต์เหล่านี้จะช่วยจับคู่สีให้ตามที่ต้องการ มาดูกันว่า เทคนิคการจับคู่สี ของเว็บไหนมีความน่าสนใจบ้าง

Canva 

https://www.canva.com/colors/color-wheel/

ทุกคนคงจะรู้จัก Canva.com กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นเว็บไซต์ที่มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายและเป็นเว็บไซต์อันดับต้น ๆ เมื่อพูดถึงการตกแต่งรูปภาพ หรือ วีดีโอ ฯลฯ แต่ทุกคนอาจไม่เคยทราบมาก่อนว่า Canva มี Feature ที่สามารถจับคู่สีได้เช่นกัน โดยใน Feature นี้ก็จะให้เราเลือกว่า เราต้องการจับคู่สีไปตามหลักการใด เช่น หลักการแบบ Analogous scheme (หลักการเลือกคู่สีที่ใกล้เคียงกัน) เป็นต้น

โดยรวมถือเป็นเว็บไซต์ที่ใช้งานได้ง่ายและที่สำคัญคือฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ 

Paletton

https://paletton.com/

เป็นเว็บไซต์ที่สร้างคู่มือที่ทำให้ทุกคนสามารถเลือกจับคู่สีได้ตามใจชอบ ซึ่งสามารถเลือกได้ด้วยว่าต้องการให้สีจับคู่เป็นไปตามหลักการใด โดยมีหลักการให้เลือกหลายรูปแบบ เช่น หลักการแบบเลือกคู่สีที่ใกล้เคียงกัน (Analogous color scheme) หรือหลักการเลือกสีแบบสมดุล (Triadic color scheme) เป็นต้น และเมื่อได้เลือกสีที่ถูกใจแล้ว ก็สามารถนำโค้ดสีที่ขึ้นโชว์ไปใช้ในงานได้  

Coolers

https://coolors.co/

เป็นเว็บไซต์ที่ช่วยให้ทุกคนสามารถจับคู่สีได้อย่างมีสีสัน โดยสำหรับเว็บไซต์นี้จะสามารถเลือกได้ว่าต้องการสร้างหรือจับคู่สีขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเอง แบบไม่ซ้ำใคร หรือถ้าหากใครที่ต้องการสีที่ทางเว็บไซต์จัดไว้ให้อยู่แล้ว ก็สามารถเลือกสรรได้ตามที่ต้องการ

เทคนิคการจับคู่สี
Image by senivpetro on Freepik

Key Takeaway

เทคนิคการจับคู่สี ถือว่ามีหลากหลายเป็นอย่างมาก โดยการเลือกใช้เทคนิคต่าง ๆ ก็ขึ้นอยู่กับประเภทของตัวผลิตภัณฑ์หรืองานบริการนั้น ๆ ว่าต้องการให้งานดีไซน์ดังกล่าวออกมาในรูปแบบใด ซึ่งหากคุณต้องการตัวช่วยในการทำงานหรือเลือกคู่สี ในยุคสมัยปัจจุบันที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูง ทำให้มีหลากหลายเว็บไซต์ที่เข้ามาแข่งขันกันจนทำให้เกิดเว็บไซต์ที่สร้างคู่มือในการช่วยจับคู่สีตามตัวอย่างข้างต้น ซึ่งจะทำให้ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ออกแบบได้มาก

Cover Image : Image by Freepik

สาระทั่วไป